AAR อบรมเชิงปฏิบัติการจัดการความรู้


กิจกรรมช่วงเช้าของวันที่ 25 ธันวาคม 2548

AAR      ช่วงเช้าวันที่ 25 ธันวาคม 2548

เริ่มต้นจากพี่ต๋อม 

               พี่ทรงพล วิเคราะห์ถึงรากเหง้าของ KM เอาวิวัฒนาการของ KM มานำเสนอเรื่องราวให้ทีมงาน และในเนื้อหาทำให้ผมเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นตัวแปลที่สำคัญที่ทำให้สภาพแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลง มีการต่อสู้ระหว่างกัน

                การพัฒนาอย่าให้เรายึดติดในเครื่องมือแต่ให้เราใช้ใจในการเข้าไปทำจะได้เกิดความกลมกลืนและมีความสุข

                ที่สำคัญที่พี่ทรงพลกล่าวไว้คือ  หลายเครื่องมือเกิดที่ญี่ปุ่น โตที่อเมริกา แต่จะมาตายที่เมืองไทย และ KM นี่ก็เหมือนกันจะไม่ให้ตายในเมืองไทยได้อย่างไร เราควรคำนึงถึงความสอดคล้อง

                และพี่ทรงพลจะไม่เน้นในเครืองมือ ธารปัญญา หรือตารางอิสรภาพ แต่พี่ทรงพลจะลงมาเล่นในเรื่องของความรู้ฝังลึกจะไม่เน้นเครื่องมือ จะเล่นกับการตั้งคำถาม เช่น ถามว่าคุณจะมาทำอะไรสักอย่างหนึ่งคุณมีปัญญาหรือเปล่า จะเล่นที่คำถามเพื่อให้เกิดการดึงเอาความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคนออกมา

                และก็ให้พวกเราเล่นเกม (ตั้งคำถามจากเสื้อตัวเดียว) มีจุดที่เราสร้างความรู้ได้ 3 เรื่อง คือ 1)ถามว่าเรามองเสื้อตัวนี้เราเห็นอะไรบ้าง เป็นการสื่อให้เห็นว่าการมองให้ละเอียดไม่ใช่มองแค่ตา แต่ให้มองไกลกว่านั้น สัมผัส ชิมรส  2)ประโยชน์ของเสื้อตัวนั้น ซึ่งจะสอนในเรื่องของการคิดนอกกรอบเพราะเสื้อตัวเดียวประโยชน์ของมันหลากหลาย เพียงแค่เห็นแว๊บเดียว ประโยชน์ของมันก็คือการสวมใส่ แต่หากเราคิดนอกกรอบจากที่เป็นอยู่เสื้อตัวเดียวจะเห็นว่าทำประโยชน์ได้เยอะมาก (เน้นเรื่องการคิดนอกกรอบ) 3) การคิดเชื่อมโยง คือการให้จินตนาการว่ากว่าจะเป็นเสื้อตัวนี้ขึ้นมาเราเห็นอะไรบ้าง ก็จะสื่อให้เราเห็นถึงการคิดเชื่อมโยง 

อ.สุกัญญา

ได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของ KM อ.ได้ไล่มาว่ามีการวิวัฒนาการอย่างไร

อ.ได้พยายามให้เราฝึกการคิด คิดนอกกรอบ คิดเชื่อมโยง และการมองว่าเรามองอะไรเราต้องมองให้ลึกโดยสื่อจากการตั้งคำถามจากเสื้อตัวเดียว 

                การดูหนังจับประเด็น ทำให้เราได้ทักษะในเรื่องของกระบวนการ

                และในเรื่องของ KM ที่สำคัญเป้าหมายของเราต้องชัด เมื่อเป้าหมายชัดแล้วกิจกรรมกระบวนการที่เราไปทำคืออะไร และสุดท้ายให้เราเชื่อมโยงกันว่ากิจกรรมและเป้าหมายเชื่อมโยงกันอย่างไร เราก็จะสามารถตอบคำถามในเรื่องของงานวิจัยได้ แต่การเชื่อมโยงเราก็ต้องเชื่อมโยงในเรื่องของทุนเดิม และก็จากเมื่อวานก็ทำให้มีคำถามว่าเราจะเดินต่อกันไปอย่างไร 

อ.พิมพ์

                พลาดโอกาสที่จะได้รับฟังเรื่องราวประวัติศาสตร์ของ KM เนื่องจากมาสายก็น่าเสียดาย เมื่อวานนี้ได้รับอะไรบ้าง สิ่งที่ได้คือได้เหลียวหลังมองย้อนไปว่าสิ่งที่เราได้ลงไปทำกับเครือข่ายองค์กรเราได้ทำอะไรบ้าง ได้เรียนรู้กันไป ได้มาทบทวนตัวเองเรื่องของกระบวนการต่าง ๆ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ได้มุมมองในการทำงานกับคนกับชุมชน ได้เรียนรู้ในเรื่องของการคิดนอกกรอบ กิจกรรมที่ อ.ให้ทำนี้จะซึมซับเข้าไปโดยที่เราไม่รู้ตัว 

อ.เอก               

สิ่งที่เราพะวงก็คือเราทำเรื่องการจัดการความรู้และเราก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นใช่การจัดการความรู้หรือไม่ แต่ละคนก็พยายามเรียบเรียงหลังจากคำตอบที่ อ.ให้มา

                การวิจัยเนี่ยเรียกว่าการจัดการความรู้ได้หรือไม่ ซึ่งการวิจัยก็มีเป้าหมาย เราก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้บรรลุเป้าหมายนั้น โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นคือการจัดการความรู้หรือไม่ แต่เราสนใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นเกิดประโยชน์ต่อชาวบ้าน ต่อชุมชน หรือไม่อย่างไร อันนี้ก็คือสิ่งที่พูดกันและความคิดเมื่อวานตอนที่ อ.ทรงพล ท่านบรรยายในเรื่องการเรียนรู้ก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำผมพูดกับ อ.สุรางค์เมื่อเช้าว่าผมปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเทียบเคียงกับความรู้เก่าที่ผมมี ผมก็เทียบเคียงไปว่าเรียนรู้ก่อนทำ ระหว่างทำและหลังทำนี่ต้องใช้การมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ใช่การครุ่นคิดหรือความคิด ผมคิดว่าการพยายามดูรายละเอียดทุกเรื่องที่เข้ามามีส่วนร่วมในการนำไปสู่เป้าหมายและก็มองอีกว่าการที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จเราต้องเกิดจากความรักก่อน คือ มีแรงจูงใจมีตัวกระตุ้นอยากที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งเราอยากจะให้มันเป็นซึ่งไม่ใช่เรื่องของการถูกบังคับให้ทำว่าจะต้องเสร็จภายใน 6 เดือน ต้องเสร็จภายใน 1 ปีอันนี้ต้องเกิดจากความรักความพอใจก่อน เหมือนกับครูใหญ่คนนั้น ซึ่งเมื่อทำแล้วเราก็จะต้องมีวินัยในตัวเอง นั่นก็คือความภาคภูมิใจที่เราจะทำคือการมีวินัยในตนเอง ไม่ใช่ว่าวันนี้อยากทำวันหน้าไม่อยากทำอันนี้แสดงว่าไม่มีวินัยในตนเอง เป็นตัวการหนึ่งที่จะทำให้เกิดแสงสว่าง เมื่อมีวินัยก็จะต้องมีความมุ่งมั่นผมก็มองว่าเป็นสมาธินั่นเอง มีความมุ่งมั่นที่จะทำอาจจะบอกว่าดื้อแพ่งก็จะทำ แต่เราจะทำให้สำเร็จ คือมีความมุ่งมั่นมีวินัย แม้มันจะมีปัญหาหรือจะอยากแค่ไหนเนี่ยะมันก็จะพบแสงสว่างคือตัวปัญญา

อ.เบียร์

                สิ่งที่ได้เมื่อวานท่านอ.ทรงพนก็ให้แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้เยอะมากทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองกระจ่าง คือ การจัดการความรู้เป็นเพียงเครื่องมือ ๆ หนึ่งเท่านั้นเองที่จะใช้ในการพัฒนาที่จะทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแต่กิจกรรมที่ต้องไปสู่สิ่งนั้น คือเป้าหมาย เส้นทางที่ผ่านมามีอะไรบ้างและเราก็ต้องจับให้ได้ว่าเราได้ทำอะไรไป เป็นอย่างไร ทำกับใครแล้วเป็นอย่างไรอันนี้คิดว่าน่าจะเรียกว่าใช้เครื่องมือจัดการความรู้มาตรงนี้ แต่ก็คงไม่ใช้เครื่องมือเดียวในการที่จะพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้น เพราะเครื่องมือเดียวมันคงทำอะไรไปได้ไม่มากนักมันต้องอาศัยหลาย ๆ อย่าง 

                เมื่อเช้าคุยกับ อ.สุรางค์ว่า เงิน เงินเนี่ยะขอแค่นี้แหละแต่ขอยืดระยะเวลาไปได้ไหมเพราะเท่าที่เห็นแล้วถ้าเกิด 1 ปี แล้วต้องใช้เงินให้หมดเนี่ยะ ใช้เงินให้หมดนะไม่ยาก แต่ใช้แล้วให้มันเกิดอย่างที่อยากได้ตามวัตถุประสงค์จริง ๆ มันต้องใช้เวลา

                เมื่อวานนี้ได้กรอบความคิดในเรื่องที่เราจะเขียนตอบคำถามว่าหลังจากที่ทำไปแล้ว 6 เดือนเราได้อะไรบ้างชัดในเรื่องอะไรบ้าง จากที่เมื่อวานคิดกรอบแล้วคงยังเดินหน้าไปไม่ได้ต้องย้อนดูข้างหลังว่าเขาใช้การจัดการความรู้มาเยอะ อยากให้เขาใช้การจัดการที่มันผ่านมาของเขาตรงที่เขาในตำบลนี้มีความรู้อยู่แล้วก็อยากให้ในตำบลอื่นที่เขาไม่ได้มีความรู้อยู่ตรงนี้มาเรียนรู้กันก่อน ตรงนี้ก็คงจะต้องเดินย้อนกลับไปข้างหลังแล้วค่อยก้าวไปข้างหน้า 

อ.สุรางค์

                เครื่องมือจัดการความรู้ที่ดีที่สุดในการจัดการความรู้คือตัวคน ผู้คนที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ต้องรู้บทบาทหน้าที่ ต้องมีทักษะซึ่งทักษะนั้นจะต้องมีตัวช่วย โดยพาะคุณอำนวยซึ่งจะเป็นคนที่จะต้องควบคุมสถานการณ์หรือจัดการเรียนรู้นี้ จะต้องมีบทบาทในเรื่องของการตั้งคำถาม จากการที่อ.ทรงพล ให้ทำกิจกรรมนั้นจะเห็นว่าคำถามนั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของคุณอำนวยจะต้องถามให้เป็นอย่างที่ อ.ทรงพล ถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องเสื้อปรากฎว่าสามารถดึงความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องเสื้อไม่ว่าจะเรื่องกระบวนการทำ ประโยชน์ของเสื้อ หรือคุณลักษณะได้รายละเอียดเยอะมาก เปรียบบทเรียนนี้เหมือนกับว่าคำถามนั้นมันจะเป็นตัวที่จะดึงเอาความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคนออกมาและคุณบันทึกก็จะเป็นคนหนึ่งที่สำคัญเพราะคนๆนี้จะต้องเก็บรายละเอียดที่สำคัญ อ.เน้นว่าคนเราเดี๋ยวนี้อยู่ในสังคมของข้อมูลมากเกินไปข้อมูลจะถาดโถมเข้ามาจนมากเกินไป อ.ก็จะเน้นเรื่องของรายละเอียด วิธีการคิด และก็คิดอย่างมีระบบ และคิดเชื่อมโยงด้วย

 

คำสำคัญ (Tags): #สรุปการประชุม
หมายเลขบันทึก: 10736เขียนเมื่อ 27 ธันวาคม 2005 08:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท