ดูความสัมพันธ์ข้างล่างนี้
(ก) : (1)สิ่งเร้า----(2)(กิจกรรมของนิวโรน)----(3)(ความรู้สึก:จิต)----(4)(พฤติกรรม)
ความจำการรู้สึกสัมผัส(SM), ความจำระยะสั้น(Short-Term Memory:STM), และ ความจำระยะยาว (Long-Term Memory:LTM), เป็ระบบย่อยสามระบบ รวมกันเป็นโครงสร้างของความจำ(Memory Structure) ดังนั้นสามระบบนี้จึงเป็นองค์ประกอบ(Components)ของโครงสร้างของความจำ องค์ประกอบและโครงสร้างดังกล่าวนี้คือส่วนที่(2)และ(3)ของ(ก)ข้างบนนี้ และการที่นักจิตวิทยาศึกษาค้นคว้าในส่วนที่(2)&(3) นี้เองที่เรียกกันว่า Cognitive Psychology หรือ จิตวิทยาความรู้(บางทีเรียกว่า จิตวิทยาปัญญา) ซึ่งเริ่มศึกษากันมาตั้งแต่ราวๆ ค.ศ. 1885 เป็นต้นมา และซบเซาลงไปบ้างในช่วงปีราว 1913-1960 และรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วนับแต่ปีราว 1960 เป็นต้นมา และจะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ โครงสร้างของความจำอาจจะอธิบายสั้นๆให้เข้าใจง่ายได้ดังนี้
สิ่งเร้าที่เข้าเร้าทางตา(หรือทางหู,ทางจมูก,ทางลิ้น,ทางผิวหนัง)จะไปเกิดการรู้สึกสัมผัส(Sensation) ที่บริเวณการรู้สึกเห็น(Visual Cortex)ที่บริเวณท้ายทอย(ถ้าอวัยวะสัมผัสอื่นก็ไปเกิดการรู้สึกสัมผัสที่บริเวณอื่น) สิ่งที่รู้สึกสัมผัสนั้นจะมีลักษณะเหมือนกับสิ่งที่เข้าไป คือถ้าเข้าทางตาก็จะรู้สึกเห็นเป็นภาพ เข้าทางหูก็จะรู้สึกสัมผัสเป็นเสียง เป็นต้น ถ้าสิ่งเร้าที่เข้าไปนั้นขณะนั้นยังคงอยู่ที่นั่นนานประมาณ 1 วินาที และยังไม่รู้ความหมาย ก็เรียกว่า ความจำการรู้สึกสัมผัส(SM) ปริมาณของสิ่งเร้าที่จะคงอยู่ได้ในระบบนี้มีประมาณ 4 หน่วย(ตัวอักษร,ตัวเลข,หรือคำสั้นๆ) ถ้าหากว่านานกว่านั้น สิ่งที่เข้าไปนั้นก็จะเลือนหายไป หรือ ลืม(Forgetting)
ถ้าต่อมา ในช่วงเวลาราว 1 วินาทีนั้น สิ่งที่เข้าไปนั้นได้รับความหมาย การรู้สึกสัมผัสนั้นก็จะกลายไปเป็น การรับรู้(Perception) การรับรู้นี้ ถ้าไม่มีการทบทวน(Rehearsal)ก็จะคงอยู่ได้นานประมาณ 30 วินาที นานกว่านั้นมันจะเลือนหายไป เรียกว่า ลืม(Forgetting) และการที่การรับรู้นี้ยังคงอยู่ได้นานราว 30 วินาทีนี้เอง เราจึงเรียกว่า ความจำ แต่ยังเป็นระยะสั้นๆอยู่ แต่นานกว่าในSM สำหรับปริมาณของสิ่งเร้าที่สามารถจะยังคงอยู่ในระบบนี้ในช่วงราว 30 วินาทีก็มีประมาณ 7 หน่วย(เช่น 7 หน่วยตัวอักษร,หน่วยตัวเลข,หน่วยคำ,หน่วยกลุ่มคำร่วมความหมายหรือ Chunk) นอกจากนี้ สิ่งที่จำในระบบนี้ก็เป็นทั้งภาพ,เสียง,และความหมาย ซึ่งทั้งหมดนี้แตกต่างจากระบบSM เราจึงได้เรียกระบบนี้ว่า ความจำระยะสั้น(STM).
ถ้าเวลาผ่านไป และสิ่งที่เข้าไปอยู่ใน STM ได้หายไปหมดแล้ว แต่สามารถยังระลึกได้(Recall) แสดงว่ายังมีระบบความจำอีกระบบหนึ่ง สำหรับเก็บความรู้ที่หายไปจากระบบ STM เราเรียกความจำระบบนี้ว่า ความจำระยะยาว(LTM) ความจำในระบบนี้จำได้นานไม่จำกัดเวลา และไม่จำกัดจำนวนสิ่งที่จำ สิ่งที่จำไว้ได้ก็มีทั้งที่เป็นภาพ, เป๋นเสียง, และเป็นความหมาย. ความรู้จากโลกภายนอกที่ได้จากการเรียนรู้และประสบการณ์จะถูกเก็บไว้ในระบบนี้
อนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่า ระดับสติปัญญาจะมีบทบาททำให้ความจุของ SM,STM,LTM, เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น คนที่มีระดับสติปัญญาตำ อาจจะมีความจุน้อยกว่า 4 หน่วยใน SM และน้อยกว่า 7 หน่วยใน STM เป็นต้น และคนที่ฉลาดสูงกว่าปรกติก็อาจจะมีความจำมากกว่า 7 หน่วยในSTM เป็นต้น แต่ ถึงแม้ว่าจะมากขึ้นหรือน้อยลง ก็ไม่ทำให้เอกลักษณ์ของ SM,STM,LTM เปลี่ยนไป
ขอให้สังเกตว่า โครงสร้างของความจำที่กล่าวมานี้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า เป็นระบบของกิจกรรมของนิวโรน(ก)(2), หรือระบบของจิต(ก)(3), แต่ แน่นอนทีเดียวว่า ภาวสันนิษฐานของ SM,STM,และ LTM ก็คือ กิจกรรมของนิวโรนหรือกลุ่มนิวโรนในสมองของคน
เราเชื่อว่า คนทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ในโลกนี้จะมีโครงสร้างของความจำดังที่กล่าวมา.
เพิ่งตระหนักว่านี่คือ บล็อก ของอาจารย์ครับ ดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่าใน บล็อก สวัสดีปีใหม่ครับ
วิจารณ์
ขอบคุณมากคะอาจารย์ อ่านที่อาจารย์เขียนแล้วเข้าใจเรื่องการ Human Information Processing ได้เป็นอย่างดีทีเดียวคะ ดิฉันคงเขียนอย่างอาจารย์ไม่ได้คะ เพราะความรู้ด้านนี้ที่ดิฉันมียังไม่ลึกซึ้งมาก ส่วนใหญ่ก็จะประยุกต์ใช้เสียมากกว่าคะ :)
อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการ Information Chunking คะ ผู้อ่านท่านอื่นมีตัวอย่างอีกไหมคะ จะได้มาต่อยอดความรู้ของ ดร.ไสว กันต่อคะ
และสำหรับท่านผู้อ่านและผู้เขียนที่สนใจเรื่อง Cognitive Psychology สามารถเข้าที่ชุมชน http://Cognition.gotoknow.org เช่นกันคะ
ผมพบหมอวิจารณ์จากภาพที่ gotoknow.org ตั้งแต่ผมเริ่มเข้าชมเว็บไซต์นี้ครั้งแรกแล้วครับ และเมื่อทราบว่า มอ.มีทีมที่มีศักย์ภาพสูงในการพัฒนา gotoknow.org ซึ่งนำโดย ดร.จันทวรรณ และ ดร.ธวัชชัยได้ล้ำหน้าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่นเกาหลีใต้ได้ด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คิดว่าปีใหม่นี้ก็คงจะพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ผมขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่กับทุกท่านครับ
ผมก็รู้สึกชื่นชมเช่นเดียวกับ ดร.จันทวรรณ ที่มีต่อ Dr.Miller เกี่ยวกับ Phrase อันลือลั่นของเขาคือ The magical number seven,plus or minus two ซึ่งเขาได้โยนเข้ามาในสังคมของมนุษย์ให้ได้สื่อสารกันตั้งแต่ปี 1956 และนำไปประยุกต์ใช้กันเพื่อให้จำได้ง่ายขึ้น เช่น เบอร์โทรศัพท์ เลขทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น ผมคิดว่า การค้นหาความรู้ใหม่ก็ยังต้องค้นกันต่อไป แต่เป้าหมายสุดท้ายก็คือ นำมันมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า