ผมมีโอกาสได้เข้าเป็นตัวแทนนายจ้างจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับบุคลากร
บุคลากรในองค์กรที่ทำงานมี 2 ประเภท
เนื่องจากกลุ่มพนักงานมหาวิทยาลัย ไม่มีสวัสดิการอื่น ทั้ง กบข. , ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร ฯลฯ ทำให้องค์กรต้องคิดหาวิธีการจัดสวัสดิการให้ได้ใกล้เคียงกับกลุ่มข้าราชการที่มีสวัสดิการหลายอย่าง กรณีเมื่อพนักงานมหาวิทยาลัยออกจากงานด้วยเหตุปกติ การให้ได้รับเงินสำรองเลี้ยงชีพเมื่อออกจากงานจึงจำเป็นต้องบริหารงานให้เกิดขึ้นในองค์กรให้ได้
สมมุติว่ารัฐต้องการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยคุณวุฒิปริญญาโท ซึ่งหากจ้างให้เป็นข้าราชการบรรจุใหม่อัตราเงินเดือนเริ่มต้น 8,320บาท โดยมีสวัสดิการต่างๆ ตามระเบียบกระทรวงการคลัง แต่การจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย รัฐจ่ายเงินก้อนเดียวให้กับมหาวิทยาลัยเป็นเงิน 1.7 เท่า สำหรับตำแหน่งสายผู้สอน และ 1.5 เท่า สำหรับสายสนับสนุน ดังนั้นตำแหน่งอาจารย์ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยรัฐจ่ายเงินมาเป็นเงินเดือน ในอัตรา 1.7 เท่าของเงินเดือนข้าราชการ คือ 8,320 X 1.7 = 14,144 บาท ซึ่งตั้งแต่ปี 2545 มหาวิทยาลัยได้จ้างในอัตราดังกล่าวโดยไม่ให้สวัสดิการใดๆ ซึ่งต่อมาได้มีข้อเรียกร้องจากพนักงานมหาวิทยาลัยให้จัดสวัสดิการให้บุคลากรพนักงานมหาวิทยาลัยด้วย ซึ่งมีปัญหาว่าไม่มีงบประมาณที่จะจัดสวัสดิการใดๆ เนื่องจากรัฐบาลเหมามาในอัตราดังกล่าวแล้ว หากมหาวิทยาลัยต้องการจัดสวัสดิการให้บุคลากรก็ต้องนำเงินที่รัฐจ่ายมาให้นี้ไปบริหารเอง จึงได้เกิดพัฒนาการในการบริหารค่าจ้างและสวัสดิการขึ้น วิธีการที่ทำในปัจจุบันก็คือ แทนที่จะจ่ายให้บุคลากรหมดทั้ง 14,144 บาท ก็จ่ายให้เพียง 1.5 เท่า ก็คือ 12,480 บาท เงินส่วนต่าง 1,664 บาท ก็นำไปบริหารเป็นสวัสดิการให้พนักงานเหล่านั้น
คณะรัฐมนตรีได้ออกระเบียบฉบับหนึ่งเมื่อปี 2547 โดยสรุปก็คือให้หน่วยงานมีกรรมการสวัสดิการขึ้นมาเพื่อดูแลสวัสดิการภายในองค์กร และให้สามารถตั้งกองทุนสวัสดิการได้ ดูแลสวัสดิการต่างๆ ตามที่คณะกรรมการสวัสดิการเห็นควร ซึ่งในทางปฏิบัติการจะตั้งกองทุนสวัสดิการก็จะต้องมีเงินให้บริหาร เป็นโชคดีของหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่ ผู้บริหารอนุมัติงบประมาณในปีแรกจำนวน 2 ล้านบาทเพื่อนำไปบริหารสวัสดิการ แล้วนำเงินงบประมาณส่วนต่างระหว่าง 1.7 และ 1.5 (ซึ่งก็คือเงิน 1,664 บาท ตามที่ยกตัวอย่าง) เข้ามาสมทบด้วย ก็จะทำให้กองทุนสวัสดิการมีเงินที่จะบริหารได้คล่องตัวขึ้น เมื่อมีเงินให้จัดสวัสดิการ คณะกรรมการสวัสดิการจึงสามารถออกระเบียบต่างๆ ออกมารองรับเสวัสดิการที่สามารถจะให้ได้ ซึ่งจะทะยอยออกมาในโอกาสต่อไป
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำริตั้งขึ้นจากคณะกรรมการสวัสดิการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งจากการศึกษาการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พบว่าการจัดตั้งกองทุนฯ ต้องจัดตั้งตามระเบียบตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และต้องจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจะสามารถตั้งได้
ประเภทของกองทุน
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมี 2 ประเภทใหญ่ๆ ประเภทแรกเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบเต็มตัว คือต้องมีเงินหมุนเวียนในกองทุนนั้นๆ ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และอีกประเภทคือกองทุนแบบรวมกลุ่ม คือกองทุนฯนั้นมีเงินหมุนเวียนไม่ถึง 100 ล้านบาท โดยหลักการก็คือ เมื่อจดทะเบียนกองทุนแล้วก็มอบหมายให้บริษัทจัดการหลักทรัพย์ (บลจ.) นำเงินจากองทุนไปบริหารจัดการให้เกิดผลตอบแทน นำผลตอบแทนนั้นกลับมาแบ่งปันให้สมาชิก
อ้อ! ลืมบอก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นการระดมเงินจากทั้งลูกจ้างและนายจ้างเข้าเก็บไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และจะจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงานโดยปกติและไม่กระทำผิดต่อนายจ้าง โดยยึดหลักลูกจ้างจ่ายเงินเข้ากองทุนฯเท่าไร นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบให้ไม่น้อยกว่า เงินที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ระดมได้จะต้องให้ บลจ. บริหารงาน หากเกิดดอกออกผลจะต้องนำผลนั้นคืนสู่กองทุนและกองทุนนำจ่ายคืนสมาชิกเมื่อสมาชิกออกจากงาน
ตามที่ทราบแล้วว่าเงินของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพบิริหารงานโดย บลจ. ซึ่งจะนำเงินไปลงทุนในตลาดเงินหรือตลาดทุน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงที่จะได้กำไรน้อยหรือขาดทุนอยู่บ้าง การตัดสินใจลงทุนกับ บลจ.ใด จึงเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจให้ถูก การตัดสินใจตรงนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่ง ณ วันที่แก้ไขบันทึกนี้ (29 ก.พ. 51) คณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้คณะกรรมการทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างครบแล้ว หวังว่าการบริหารจัดการที่ดีจะเป็นการสร้างสวัสดิการให้เกิดแก่บุคลากรต่อไป
ไม่มีความเห็น