วันนี้ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องการประชุมสัญจรต่อให้จบ (เพราะเล่ามาหลายวันแล้ว จะได้เล่าเรื่องใหม่ต่อไปค่ะ) เมื่ิอตกลงกันได้แล้วว่าจะไปสัญจรที่ไหน ในเดือนอะไร ใครจะเป็นเจ้าภาพ จะเอางบประมาณในการเดินทางมาจากไหน ได้มีคณะกรรมการตั้งคำถามขึ้นมาอีกว่าแล้วจะไปกันกี่คน มีคนเสนอว่า 26 คน โดยให้เหตุผลว่าจำนวน 26 คนมาจากคณะกรรมการของเครือข่าย แต่ก็มีผู้แย้งว่าถ้าเป็นการประชุมสัญจรคิดว่าน่าจะมีคนที่สนใจมากกว่านี้ แล้วก็ยกตัวอย่างกลุ่มของตนเองว่ามีคนที่มาเป็นคณะกรรมการเครือข่ายคนเดียว แต่คนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสัญจรคิดว่ามีอีกหลายคน ดังนั้นในที่ประชุมจึงร่วมกันสรุปว่าขอให้มีการสำรวจในวันนี้เลยจะได้ทราบจำนวนที่ชัดเจน เจ้าภาพจะได้เตรียมรับได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผู้วิจัยจึงรับหน้าที่เป็นผู้สำรวจให้โดยเอารายชื่อกลุ่มทั้ง 19 กลุ่มมาจากคณะกรรมการ แต่ก่อนที่จะสำรวจผู้วิจัยเสนอเพิ่มเติมว่านอกจากจะสำรวจว่าจะไปกันกี่คนแล้ว ยังควรบอกด้วยว่าแต่ละกลุ่มจะไปกันอย่างไร ถ้ากลุ่มไหนจะไปเองก็ขอให้บอกว่าจะไปเอง ถ้ากลุ่มไหนจะไปกับเครือข่ายก็ให้มารวมตัวกันในเมืองก่อนแล้วค่อยหารถไป ผลการสำรวจสรุปได้ว่าในเดือนมกราคมซึ่งจะจัดประชุมสัญจรที่กลุ่มแม่ทะป่าตันจะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 50 คน แบ่งเป็นคณะกรรมการของแต่ละกลุ่ม (18 กลุ่ม) ประมาณ 35 คน อีก 15 คนมาจากคณะกรรมการของกลุ่มแม่ทะป่าตัน โดยมีคนที่ไปเองประมาณ 15 คน ที่เหลืออีกประมาณ 20 คนจะมารวมตัวกันขึ้นรถที่เครือข่าย
ว่าด้วยเรื่องรถ ตอนแรกมีผู้เสนอว่าควรเช่ารถตู้ไป แต่พอทราบจำนวนคนที่จะไปแล้วมีคณะกรรมการตั้งคำถามขึ้นมาว่าหากเอารถของตัวเองไปแต่ขอเบิกค่านำ้มันจะได้ไหม ผู้วิจัยจึงบอกว่าได้ หลังจากนั้นจึงมีผู้เสนอต่อว่าถ้าอย่างนั้นลองสำรวจดีไหมว่าใครที่มีรถแล้วจะเอารถไปเอง ก็ให้คณะกรรมคนอื่นไปด้วยจะได้เป็นการประหยัด ไม่ต้องเช่ารถตู้ คณะกรรมการทุกคนเห็นด้วย จึงมีการสำรวจว่าใครจะขับรถไปบ้าง ปรากฎว่าสำรวจออกมาได้รถประมาณ 5 คัน (ยังไม่รวมของผู้วิจัยที่ซื้อรถแล้วแต่ยังขับไม่เป็น ได้แต่ยิ้มอายๆบอกกับคณะกรรมการว่าจะพยายามขับรถให้เป็นโดยด่วน คิดว่าวันที่ 22 น่าจะขับเป็นแล้ว คณะกรรมการได้แต่หัวเราะ มีคนแซวว่าสงสัยต้องทำประกันชีวิตก่อนขึ้นรถอ.อ้อม) ก่อนที่จะผ่านเรื่องนี้ไปผู้วิจัยได้เสนอในที่ประชุมว่าสำหรับกลุ่มที่ไม่มาร่วมประชุมในวันนี้ขอให้ทางเลขานุการของเครือข่าย คือ อ.สมพิศ เป็นผู้รับหน้าที่ประสานงาน แจ้งรายละเอียดให้กลุ่มทราบ ซึ่งอาจารย์สมพิศก็ได้รับไว้ (ตรงนี้เป็นการฝึกให้เลขานุการทำงานในหน้าที่ของตนเอง เป็นการกำหนดภาระงานไปในตัว เพราะ ที่ผ่านมาเลขาฯมักคิดว่าตนเองมีหน้าที่จดบันทึกการประชุมเพียงอย่างเดียว)
จากนั้นก็มีการพิจารณาต่อว่าในการประชุมสัญจรจะมีเนื้อหาอะไรบ้าง ข้อสรุปที่ได้จากที่ประชุมก็คือ ควรที่จะมีวาระการประชุมเหมือนกับการประชุมประจำเดือน นอกจากนั้นแล้วก็เป็นการเคลียร์เงิน เคลียร์บัญชี ผู้วิจัยจึงเสนอเพิ่มเติมว่าไหนๆเราก็ไปสัญจรกันอย่างนี้แล้ว น่าจะให้กลุ่มที่เป็นเจ้าภาพนำเสนอใน 3 ประเด็น คือ การบริหารจัดการภายในกลุ่มของตนเอง , การขยายจำนวนสมาชิก และการเชื่อมประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหัวข้อที่ขณะนี้เรากำลังดำเนินการอยู่ เพื่อให้เป็นตัวอย่างกับกลุ่มอื่นๆในการนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติในการพัฒนากลุ่มของตนเอง ซึ่งในที่ประชุมเห็นด้วย กลุ่มแม่ทะซึ่งเป็นเจ้าภาพในครั้งแรกจึงรับว่าจะไปจัดการโดยประสานกับคณะกรรมการของกลุ่ม และประธานเครือข่ายฯ (คุณสามารถ)
ตอนแรกคิดว่าเมื่อพิจารณาเรื่องเนื้อหาของการจัดประชุมสัญจรเสร็จ จะได้ผ่านเรื่องนี้ไปพูดเรื่องที่ทำการเครือข่ายฯ ปรากฎว่า ผู้คณะกรรมการตั้งคำถามขึ้นมาอีกว่า แล้วเรื่องอาหารกลางวันใครจะเป็นคนจัดการ จะเอางบประมาณจากที่ไหน ด้วยความใจร้อนผู้วิจัยจึงตอบเองว่าให้มาเอาเงินงบประมาณของโครงการวิจัยก็ำได้ โดยให้เจ้าภาพเป็นผู้จัดเตรียมอาหาร วันนี้หลังเลิกประชุมขอให้เจ้าภาพคุยกับผู้ที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องอาหารที่ใช้เลี้ยงในวันประชุมว่าใช้งบประมาณหัวละเท่าไหร่ แล้วให้มาเบิกเงินกับผู้วิจัยในฐานะหัวหน้าโครงการเลย พอผู้วิจัยพูดจบดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นด้วย แต่ก็มีคนแย้งขึ้นมาว่าทำไมเราไม่แบ่งความรับผิดชอบ ทำไมต้องไปเอาเงินโครงการวิจัยมาใช้ในเรื่องค่าอาหาร เพราะที่ผ่านมาในการประชุมเครือข่ายทุกเดือนจะเอาเงินกองทุนสวัสดิการคนทำงานที่แต่ละกลุ่มส่งมาที่เครือข่ายเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารอยู่แล้ว เราไม่ควรที่จะไปทิ้งภาระให้กับโครงการวิจัย คณะกรรมการแทบทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ผู้วิจัยจึงถามความเห็นอีกครั้งว่าที่ประชุมจะตกลงเรื่องนี้อย่างไร เสียงในที่ประชุมบอกว่าให้เอาเงินของเครือข่าย ดังนั้นผู้วิจัยจึงสรุปว่าค่ารถให้เอาเงินโครงการวิจัยมาออก ส่วนเรื่องค่าอาหารให้เอาเงินของเครือข่ายมาออก ให้เจ้าภาพแต่ละกลุ่มประสานงานกับฝ่ายงบประมาณได้เลย
วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม ผู้วิจัยได้โทรศัพท์เล่้าเรื่องการประชุมให้คุณภีมซึ่งเป็นผู้ประสานงานโครงการฟัง คุณภีมให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่าในการประชุมสัญจรแต่ละครั้งควรมีการทำ AAR ด้วยทุกครั้ง ซึ่งผู้วิจัยเห็นด้วย และยังคิดต่อไปว่าในการประชุมสัญจรครั้งต่อๆไปควรเพิ่มเนื้อหาในส่วนของการที่ให้แต่ละกลุ่มออกมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อได้ไปประชุมสัญจรในที่ต่างๆแล้ว เอาความรู้ ประสบการณ์การพัฒนาของกลุ่มต่างๆไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มของตนอย่างไร และผลออกมาอย่างไรด้วย
ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องการประชุมสัญจรเพียงเรื่องเดียวมีรายละเอียดมากมาย เราได้ข้อสรุปหลายข้อจากการประชุม แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้วิจัยเห็นว่าไม่ได้มีการสรุปเป็นเนื้อหาให้คณะกรรมการเห็น แต่คิดว่าทุกคนคงรู้สึกไม่แตกต่างไปจากผู้วิจัยก็คือ ทุกคนรู้สึกมีความสุขที่ได้แสดงความคิดเห็น โดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแย้ง ความคิดต่างๆที่เสนอออกมาได้รับการพิจารณา แต่อาจไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย แต่อย่างน้อยทุกคนก็ได้พูด คำพูดและท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมาบ่งบอกว่า "ทุกคนยังรักเครือข่าย"
คุยกับผมตั้งนาน เขียนเล่านิดเดียวเอง
เราเคยคุยกันว่า กรรมการเครือข่ายมีหลายคนและแบ่งงานเป็นฝ่ายต่างๆ(โครงสร้าง) การจัดการความรู้จะช่วยให้กรรมการเครือข่ายเรียนรู้ ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น(มีความสามารถมากขึ้น)ซึ่งอ.อ้อมพูดถึงบทบาทของเลขาเป็นตัวอย่างแล้ว อีกอันหนึ่งก็จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงโครงสร้างและระบบจัดการให้สอดคล้องมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น วิธีการเรียนรู้แนวราบโดยอ.อ้อมทำหน้าที่คุณอำนวยคอยกระตุ้น โยนประเด็นในที่ประชุม สร้างบรรยากาศฉันท์มิตรด้วยความน่ารักจริงใจ(เช่นขับรถไม่เป็น)ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างรื่นรมย์ อ.อ้อมเอามาเขียนบันทึกไว้ก็ทำหน้าที่คุณลิขิต การประชุมเครือข่ายเป็นกิจกรรมหนึ่งของงานวิจัยเพื่อตอบคำถามบางอย่าง ย่อมมีประเด็นเรียนรู้เชื่อมโยงกับคำถามที่ตั้งไว้ทั้งโจทย์ในการประชุมครั้งนี้และโจทย์รวมทั้งหมด อ.อ้อมก็ทำหน้าที่คุณลิขิตในความเป็นคุณวิจัยด้วย
ตัวอย่างที่อ.อ้อมเล่ามาดีมากเลย บอกอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะที่อ.อ้อมรู้สึกออกมาว่าทุกคนยังรักเครือข่าย ด้วยการสร้างบรรยากาศของมิตรภาพ ความเท่าเทียม ได้รับการยอมรับในความคิด คราวหลังต้องถ่ายวีดีโอเก็บไว้เป็นตัวอย่างด้วยครับ