วันนี้ขอเสนอบทความที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเป็นเพียงมุมมองหนึ่งของผมนะครับ มีเจตนาเพียงแต่อยากจะเห็นการนำการจัดการความรู้มาสู่งานส่งเสริมการเกษตรอย่างกว้างขวางต่อไป เชิญอ่านได้เลยครับ
บทความ "การจัดการความรู้กับการส่งเสริมการเกษตร"
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และประชากรส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงนับได้ว่าอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักและเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศไทย จะเห็นได้จากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ผ่านมา อาชีพเกษตรกรรมได้รับผลกระทบในครั้งนี้น้อยที่สุด และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งไม่ว่าในปัจจุบันหรือในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ประเทศไทยจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาประเทศ เพื่อยกระดับการพัฒนาที่สามารถหารายได้เข้าประเทศจากฐานการผลิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่เกษตรกรรมก็ตาม ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาประเทศโดยใช้ตัวเงินหรือรายได้เข้าประเทศเป็นตัวตั้ง ใช้ระบบของทุนนิยม แต่นั่นคงไม่ใช่การพัฒนายั่งยืน และเป็นการพัฒนาที่ไม่เหมาะสมกับประเทศไทย เพราะรายได้หรือเงินที่ได้มานั้นจะตกไปอยู่กับคนเพียงบางกลุ่มบางพวก เหมือนที่เราเคยได้ยินว่า ยิ่งพัฒนากลับยิ่งทำให้ประเทศไทย "รวยกระจุก แต่จนกระจาย"
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นองค์กรหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาอาชีพทางด้านเกษตรกรรม ความสำเร็จในการพัฒนาการเกษตรของประเทศที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำงานของกรมส่งเสริมการเกษตร แม้ว่าในปัจจุบันมีอีกมุมมองหนึ่งกลับมองว่า เป็นเพราะการส่งเสริมการเกษตรของภาครัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งผ่านทางกรมส่งเสริมการเกษตรจะทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ปัญหาการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี เป็นต้น แต่นั่นเป็นผลมาจากการกำหนดทิศทางของการพัฒนา และกระบวนการหรือวิธีการพัฒนาประเทศ ที่มองเห็นภาพหรือเห็นทิศทางของการพัฒนาในขณะนั้นว่าควรเป็นเช่นนั้น
จะเห็นได้ว่า กระบวนการหรือวิธีการพัฒนาทางด้านการเกษตรที่ผ่านมา มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยในขณะนั้น แต่ว่าในปัจจุบัน สถานการณ์และบริบทต่างๆ ของภาคเกษตรกรรม มีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเป็นอย่างมาก ดังนั้น กระบวนการ วิธีการหรือรูปแบบการพัฒนาที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการเกษตรของประเทศไทย ก็น่าจะต้องปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง โดยให้มีความสอดคล้องและบรรลุเป้าหมาย ควบคู่ไปกับทิศทางของการพัฒนาประเทศ ซึ่งมุ่งหมายให้ประเทศไทยหรือสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และวิธีการที่จะนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ได้ มีหลากหลายวิธี แต่มีวิธีการหนึ่งที่คิดว่าน่าเหมาะสมและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในปัจจุบัน ก็คือ "การจัดการความรู้" ( Knowledge Managment : KM )
การจัดการความรู้หรือการบริหารความรู้ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับกรมส่งเสริมการเกษตร เพราะงานที่เราทำปกติอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องและเป็นการจัดการความรู้แทบทั้งสิ้น เพียงแต่เราทำแบบไม่รู้ตัว ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว การจัดการความรู้แบบไม่รู้ตัว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง (ไม่รู้ตัวและไม่มีเป้าหมาย เลยทำให้มองไม่เห็นระบบ) แต่ถ้าหากว่าเรามีความรู้และความเข้าใจในกระบวนการการจัดการความรู้อย่างถูกต้องและแจ่มชัด ก็จะเป็นแรงเสริมให้การทำงานของเราได้ดียิ่งขึ้น มองการทำงานเป็นระบบ คือมีเป้าหมาย มีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือแบ่งปันความรู้ จัดเก็บ เผยแพร่ นำไปใช้และยกระดับความรู้ในการทำงานอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา เป็นองค์การแห่งการพัฒนา
ดังนั้น การจะนำการจัดการความรู้เข้ามาสู่งานส่งเสริมการเกษตร และก่อให้เกิดประโยชน์ต่องานส่งเสริมการเกษตรได้อย่างเหมาะสมนั้น ควรมีองค์ประกอบหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรควรมี ควรทำ หรือควรสนับสนุนให้เกิด เช่น
การจัดการความรู้เป็นกระบวนการที่กว้าง และมีเครื่องมือที่เหมาะสมสอดคล้องกับงานส่งเสริมการเกษตร หากเรานำการจัดการความรู้มาปรับใช้และสอดแทรกให้อยู่ในเนื้องาน คือการส่งเสริมการเกษตร ซึ่งมีเป้าหมายของคนที่เราจะไปทำงานด้วยเป็นคนที่อยู้ในฐานใหญ่ของประเทศ จะทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของฐานการพัฒนาที่มีพลังในการเขยื้อนสังคมไทย ให้ก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ได้อีกแรงหนึ่ง เพราะการจัดการความรู้ จะมาช่วยในการการพัฒนาคนที่จะไปทำงานกับเกษตรกร คนทำงานมาร่วมมือกันพัฒนาหรือสร้างระบบการทำงาน ระบบเป็นตัวเอื้อหนุนการพัฒนาหน่วยงานหรือองค์กรของเรา องค์กรหรือหน่วยงานก็จะสามารถพัฒนาเกษตรกร พัฒนาสังคม และพัฒนาประเทศชาติได้อย่างแน่นอน
วีรยุทธ สมป่าสัก 20/12/48
ไม่มีความเห็น