การวิจัยในชั้นเรียนระดับปฐมวัย
เนื่องจากการวิจัยในชั้นเรียนมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ครูใช้กระบวนการวิจัยในการแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน จุดเน้นของการวิจัยในชั้นเรียนจึงอยู่ที่ขั้นตอนการทำวิจัยที่จะแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน ซึ่งได้แก่ การศึกษาถึงปัญหาและจุดที่ต้องการพัฒนา ศึกษาถึงสาเหตุของปัญหา ศึกษานวัตกรรมหรือวิธีการแก้ปัญหา สร้างและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ นำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปใช้แก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน หรือปัญหาการสอนของครู ประมวลผลการแก้ปัญหา สรุปผลการทดลองและเขียนรายงานเพื่อเผยแพร่
การวิจัยในชั้นเรียนกับการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ระดับปฐมวัย
เด็กปฐมวัย จัดว่าเป็นระยะที่สำคัญที่สุดของชีวิต เป็นจุดวิกฤตของการเรียนรู้ที่เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นวัยทองแห่งการพัฒนา ทั้งนี้เพราะพัฒนาการทุกๆด้านของมนุษย์ ทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม บุคลิกภาพ โดยเฉพาะด้านสติปัญญาจะสามารถเจริญและหล่อหลอมได้ดีในช่วงนี้ และพัฒนาการใดๆ ในวัยนี้จะเป็นพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการในช่วงอื่นๆ ของชีวิตเป็นอย่างมาก นักจิตวิเคราะห์ได้ย้ำให้เห็นว่า วัยเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์ คือ ระยะ 5 ปีแรกของคนเราประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับในตอนต้นๆของชีวิตจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเราจนถึงวาระสุดท้าย
การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข พัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพและครอบคลุมทุกด้านทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชนและสถานศึกษาในการพัฒนาเด็ก แต่อย่างไรก็ตามในการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย หรือในชั้นเรียนปฐมวัย หรือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยย่อมมีปัญหา อุปสรรคเกิดขึ้นมากมายหลายประการในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งจากตัวครู จากกระบวนการ และจากตัวเด็กเอง ดังนั้นครูปฐมวัยจึงจำเป็นต้องมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน นั่นก็คือ การใช้กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนในการแก้ปัญหา เพื่อส่งเสริมพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยให้เด็กได้รับการพัฒนาโดยองค์รวมอย่างเต็มตามศักยภาพและครอบคลุมทุกด้านทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา
ขั้นตอนกระบวนการทำวิจัยในชั้นเรียน
กระบวนการวิจัยในชั้นเรียน เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการซึ่งโดยทั่วไปประกอบเป็นวงจรที่มี 4 ขั้นตอน คือ
1. การวางแผน (Plan)
2. การลงมือปฏิบัติ (Act)
3. การสังเกตผลการปฏิบัติ (Observe)
4. การสรุปและสะท้อนการปฏิบัติการ (Reflect)
กระบวนการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนทั้ง 4 ขั้นตอนนี้ จะกระทำอย่างต่อเนื่องเพื่อจะนำไปสู่การปรับแผนเข้าสู่วงจรใหม่จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แก้ไขปัญหาได้จริงหรือพัฒนาสภาพการณ์ของสิ่งที่ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนกระบวนการทำวิจัยในชั้นเรียนระดับปฐมวัย
กระบวนการวิจัยในชั้นเรียน เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนระดับปฐมวัยซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน คือ
1. จุดเริ่มต้นของการวิจัย(การเลือกปัญหา)
2. การวางแผน (Plan)
3. การลงมือปฏิบัติ (Act)
4. การสังเกตผลการปฏิบัติ (Observe)
5. การสรุปและสะท้อนการปฏิบัติการ (Reflect)
6. เขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน
กระบวนการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนทุกขั้นตอนนี้ จะกระทำอย่างต่อเนื่อง แต่หากสังเกตผลแล้วผลที่พบไม่สามารถตอบคำถามการวิจัยได้ก็จะนำไปสู่การปรับแผนเข้าสู่วงจรใหม่จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แก้ไขปัญหาได้จริงหรือพัฒนาสภาพการณ์ของสิ่งที่ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. จุดเริ่มต้นของการวิจัยในชั้นเรียน
1.1 จุดเริ่มต้นของการวิจัยในชั้นเรียนเริ่มที่การพบปัญหาจากขั้นการตรวจสอบของวงจรการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ ซึ่งครูจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนและปัญหาที่เกิดขึ้นจากขั้นการตรวจสอบนั้น ในกรณีที่ครูมีข้อมูลของผู้เรียนเกี่ยวกับปัญหาที่ตรวจพบอย่างเพียงพอและมีแนวทางว่าควรทำการปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ก็สามารถแก้ไขปรับปรุงได้ทันทีโดยไม่ต้องทำการวิจัย แต่ถ้าหากว่าครูยังมีข้อมูลไม่เพียงพอและยังไม่มีแนวทางที่จะแก้ไขปรับปรุง ก็จำเป็นต้องใช้กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนมาช่วย โดยการค้นหาข้อมูลอันเป็นสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไข และทำการวิจัยให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนปกติ โดยครูอาจเริ่มต้นด้วยงานวิจัยขนาดเล็ก หรือวิจัยอย่าง่ายที่มุ่งแก้ปัญหาที่เฉพาะเจาะจงรายบุคคล เพื่อให้สามารถควบคุมกระบวนการวิจัยให้อยู่ในวิสัยที่ครูสามารถดำเนินการได้
ที่มาของหัวข้อปัญหาในการวิจัย
การที่จะคิดหัวข้อหรือปัญหาในการวิจัยในชั้นเรียนนั้นมีที่มาได้หลายแห่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมาจากแหล่งต่างๆ ดังนี้
ปัญหาที่จะนำมาทำการวิจัยในชั้นเรียน ควรมีความหมายและเอื้อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ อยู่ในวิสัยที่ครูจะเป็นผู้ดำเนินการหาคำตอบได้ สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของครูผู้วิจัย เช่น ครูมีความสนใจและความถนัดในการจัดการเรียนรู้ด้วยการแสดงบทบาทสมมติ เมื่อพบปัญหาเด็กไม่กล้าแสดงออก ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ไม่มีจินตนาการ ก็นำกิจกรรมบทบาทสมมติมาใช้เพื่อให้เด็กได้แสดงออกตามความคิดสร้างสรรค์จินตนาการของตนเองอย่างอิสระ จะทำให้ครูทำวิจัยด้วยความสนุก เห็นประโยชน์ ความสำคัญ และเกิดแรงจูงใจที่จะทำให้สำเร็จ อย่างไรก็ตามถ้าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไข ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ครูไม่ถนัด ครูก็ต้องศึกษาหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ หรือพัฒนาเทคนิควิธีการ นวัตกรรมใหม่ๆที่เหมาะสม เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหานั้นให้ได้
1.2 วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาหรือความ
ต้องการพัฒนา เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหรือแนวทางการพัฒนาในเรื่องที่ได้จัดลำดับความสำคัญไว้ เป็นขั้นตอนสำคัญที่ครูต้องสำรวจว่า มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งนั้นเป็นปัญหาหรือไม่ และหากสภาพที่เกิดขึ้นแสดงถึงปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายประการ ครูก็ต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของปัญหาเหล่านั้น โดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหา ว่าปัญหาใดควรได้รับการแก้ไขก่อน
ครูสามารถสำรวจและวิเคราะห์ปัญหาได้หลายลักษณะ เช่น วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในแง่มุมต่างๆ ตรวจสมุดแบบฝึกหัด สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ศึกษาข้อมูลจากการประเมินของผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ครูจะพบปัญหา ข้อสงสัยที่เกิดจากผู้เรียน ครู และกระบวนการเรียนการสอน
เมื่อเลือกปัญหาได้แล้วต้องวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ตรงเหตุ ปัญหาจึงจะได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงได้ สาเหตุของปัญหาอาจเกิดจากพฤติกรรม การสอน การใช้สื่อหรือการวัดผลของครู ทัศนคติ พื้นฐานภูมิหลัง นิสัยหรือพฤติกรรมของผู้เรียน ระดับความยากหรือปริมาณของเนื้อหาวิชา หรือบรรยากาศสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ห้องเรียนคับแคบ ร้อน แสงสว่างไม่พอ แหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาค้นคว้าไม่เพียงพอ เป็นต้น
ในกรณีที่พบว่าสาเหตุของปัญหามีหลายสาเหตุ อาจเลือกสาเหตุที่มีความสำคัญซึ่งเป็นสาเหตุต้นตอของสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งถ้าแก้สาเหตุต้นตอได้ จะทำให้สาเหตุอื่นถูกกำจัดไปด้วย และนำสาเหตุที่เหลือมาวิจัยต่อได้ตามช่วงเวลาต่าง ๆ ทำให้เกิดการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง
2. การวางแผนการวิจัยในชั้นเรียน
การวางแผนการวิจัยในชั้นเรียน คือ การกำหนดจุดประสงค์และวิธีดำเนินการ
เกี่ยวกับการแก้ปัญหาหรือการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนไว้เป็นการล่วงหน้า ดังนั้นการวางแผนการวิจัยในชั้นเรียนจึงต้องมีกิจกรรมที่สำคัญ คือ
2.1 การตั้งข้อสงสัยหรือคำถามการวิจัย เมื่อครูได้วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุของ
ปัญหาแล้ว เพื่อที่จะชี้ให้รู้ว่าการทำวิจัยครั้งนี้ต้องการรู้อะไร จึงต้องตั้งคำถามการวิจัยหรือการกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ที่มีความเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับปัญหาหรือความต้องการพัฒนา และแนวทางการแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนา โดยเป็นการกำหนดประเด็นข้อสงสัยที่ต้องการค้นหาคำตอบซึ่งอาจเขียนอยู่ในรูปประโยคของคำถามหรือประโยคธรรมดาที่มีความเฉพาะเจาะจง สามารถวัด สังเกตหรือเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัยได้
2.2 ศึกษา หาวิธีการในการแก้ปัญหา เมื่อครูได้วิเคราะห์ปัญหาและ
สาเหตุของปัญหาแล้ว เพื่อที่จะให้ได้แนวทางในการแก้ปัญหา ครูต้องกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนา จากสาเหตุของปัญหาหรือความต้องการพัฒนา โดยอาศัยหลักวิชาหรือทฤษฎี และความรู้หรือประสบการณ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง หลักสูตร ตำรา คู่มือ ผลงานวิจัย เพื่อครูจะได้ทราบว่าปัญหาที่คล้ายกับปัญหาที่ประสบอยู่นั้นมีผู้ใดศึกษาไว้บ้าง ใช้วิธีใดในการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร จะทำให้ครูเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นกิจกรรม หรือสื่อช่วยการเรียนรู้ เช่น กิจกรรมกลุ่มแบบต่าง ๆ สถานการณ์จำลอง บทเรียนสำเร็จรูป เป็นต้น
2.3 การกำหนดรูปแบบการวิจัย เพื่อให้ได้คำตอบของข้อสงสัยหรือคำถาม
การวิจัย โดยที่รูปแบบการวิจัยสามารถดำเนินการได้หลายแบบ ครูผู้วิจัยต้องกำหนดว่าจะใช้รูปแบบการวิจัยแบบใด รูปแบบการวิจัยนี้หมายถึงการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย วิธีการและกิจกรรม รวมทั้งระยะเวลาในการค้นหาคำตอบของคำถามการวิจัยที่ตั้งไว้
2.4 การเตรียมแผนสู่การปฏิบัติ โดยการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมตาม
แนวทางและรูปแบบที่กำหนดไว้ รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ซึ่งอาจกำหนดแนวทางการปฏิบัติโดยอาศัยประเด็นคำถามพื้นฐาน ดังตัวอย่างเช่น
2.4.1 Why = ทำไมต้องรวบรวมข้อมูล
2.4.2 What = ต้องการเก็บข้อมูลอะไร
2.4.3 Where = จะเก็บข้อมูลจากที่ไหน
2.4.4 When = จะเก็บข้อมูลเมื่อไหร่ นานแค่ไหน
2.4.5 Who = ใครเป็นคนเก็บข้อมูล
2.4.6 How = จะรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร เป็นต้น
2.5 พัฒนานวัตกรรมหรือวิธีการแก้ปัญหา ครูต้องศึกษาและออกแบบหรือพัฒนา
นวัตกรรม วิธีการ หรือสื่อช่วยการเรียนรู้ที่จะใช้ในการแก้ปัญหา แล้วดำเนินการหาคุณภาพจากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ โดยนำนวัตกรรม วิธีการหรือสื่อต้นแบบที่พัฒนาขึ้นไปให้เพื่อนครู ศึกษานิเทศก์ หรือนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา ตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข เตรียมนำไปใช้กับผู้เรียนของตน
3. การลงมือปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน
การลงมือปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจของการทำวิจัยเมื่อได้ทำการวางแผนและเตรียมการปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาเรียบร้อยแล้ว ลงมือปฏิบัติโดยในขั้นปฏิบัตินี้อาจมีความยืดหยุ่นได้บ้างซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ที่ครูผู้ วิจัยอาจพิจารณาได้ตามความเหมาะสม ขณะการปฏิบัติการนั้นจะต้องใช้กระบวนการวิเคราะห์วิจารณ์ประกอบไปด้วย รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมวิจัยหรือใช้ข้อมูลอื่นๆ ประกอบเพื่อปรับปรุงตามความเหมาะสมด้วย
การนำนวัตกรรมหรือวิธีการแก้ปัญหาไปใช้กับผู้เรียนของตน โดยระบุขั้นตอน
การดำเนินการอย่างชัดเจน แล้วเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น สังเกตและบันทึกพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้เรียนก่อนใช้ เมื่อใช้เสร็จแล้วสังเกตและบันทึกพฤติกรรมอีกระยะหนึ่ง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาความเปลี่ยนแปลงของผลที่เกิดขึ้น โดยครูผู้วิจัยต้องสร้างเครื่องมือหรือกำหนดวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล รวมทั้งแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล
4. การสังเกตผลการปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน
การสังเกตผลเป็นการรวบรวมข้อมูลการวิจัยและนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อตอบ
คำถามการวิจัยที่ตั้งไว้ การปฏิบัติต้องทำดำเนินการอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งการบันทึกผลการสังเกตทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่คาดหวังหรือไม่คาดหวัง โดยสิ่งที่ควรสังเกตได้แก่ กระบวนการของการปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติ และสภาพการณ์แวดล้อมและข้อจำกัดของการปฏิบัติ โดยมีเทคนิคเบื้องต้น การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยอาจอาศัยเทคนิคที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งมีหลายชนิดและแต่ละชนิดมีกระบวนการเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันและมีความเหมาะสมกับข้อมูลแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน สิ่งที่ควรคำนึงคือคุณภาพของข้อมูลได้มาด้วยวิธีการเก็บข้อมูลที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่เก็บมาได้
4.1 เทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยในชั้นเรียนหรือใช้ประกอบการสังเกตผลการปฏิบัติ เช่น
behavioral)
schedules and checklists)
4.2 การวิเคราะห์ผลการวิจัย ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ
4.2.1 ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ข้อมูลที่สามารถใช้ตัวเลขแทนค่าได้ การวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้ต้องมีการใช้วิธีการทางสถิติในการคิดคำนวณ เช่น ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการนำเสนออาจนำเสนอแบบตาราง กราฟ หรือแผนภูมิ
4.2.2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาปรากฏการณ์จากสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริงในทุกมิติโดยไม่คำนึงถึงตัวเลข ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมไม่อาจจัดอยู่ในรูปปริมาณ เช่น ความรู้สึกนึกคิด ประวัติชีวิต ค่านิยม และประสบการณ์ หรือปัญหาในการดำเนินชีวิตบางประการ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพมี 2 วิธี ดังนี้
(1) ตรวจพิจารณาข้อมูลที่เก็บมาได้ทั้งหมด แล้วกำหนดประเด็นสำคัญหรือคำสำคัญที่พบจากข้อมูล จากนั้นนำมาจำแนกข้อมูลตามประเด็นสำคัญหรือคำสำคัญ ขั้นต่อไปค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ของประเด็นเหล่านั้นแล้วจึงนำมาวิเคราะห์ข้อมูล
(2) กำหนดประเด็นสำคัญหรือคำสำคัญก่อนแล้วจึงตรวจพิจารณาข้อมูลที่
เก็บมาได้ทั้งหมด จากนั้นนำมาจำแนกข้อมูลตามประเด็นสำคัญหรือคำสำคัญ ขั้นต่อไปค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ของประเด็นเหล่านั้นแล้วจึงนำมาวิเคราะห์ข้อมูล
5. การสรุปและสะท้อนผลการปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน
เป็นการแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้และสะท้อนผลของการวิเคราะห์ข้อมูลหรือผลการปฏิบัติการวิจัย โดยครูผู้วิจัยควรนำผลที่ได้จากการสังเกตมาตรวจสอบในแง่มุมต่างๆ โดยการอภิปรายเพื่อตอบคำถามการวิจัยว่าปัญหาที่ต้องการแก้ไขนั้น แก้ได้หรือไม่เพียงใด หรือนวัตกรรมเทคนิควิธีการที่นำมาใช้ได้ผลเป็นเช่นใดบ้าง ควรปรับปรุงพัฒนา สามารถเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขและวางแผนในการปฏิบัติการต่อไปอย่างไร โดยอาจใช้เทคนิคเบื้องต้น คือ
6.1 การแปลความหมายของผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ทราบว่าคำตอบของคำถามวิจัยคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เป็นต้น
6.2 การสะท้อนผลกลับ เป็นส่วนสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียนซึ่งจะทำให้ครู ผู้วิจัยได้สารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติต่อไป
6. เขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน
การนำเสนอรายงานผลการวิจัย เป็นการแสดงให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบรายละเอียดของการวิจัย หลังจากได้ดำเนินการมาทุกขั้นตอนแล้ว ซึ่งรูปแบบการนำเสนอรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียนสามารถจัดทำได้ 2 แบบ คือ
1. รูปแบบการเขียนรายงานผลการวิจัยแบบไม่เป็นทางการ สำหรับ
โครงสร้างจะเหมือนรายงานการวิจัยเชิงวิชาการแต่มักนำเสนออย่างสั้นๆ เช่น วิจัยหน้าเดียว
2.รูปแบบการเขียนรายงานการวิจัยเชิงวิชาการหรือแบบเป็นทางการ
ส่วนใหญ่จะมีการนำเสนอในรูปแบบการวิจัยทั่วไปที่มีองค์ประกอบหรือหัวข้อที่เป็นลำดับแบบแผนและรูปเล่มที่สมบูรณ์
โครงร่างการวิจัยในชั้นเรียนระดับปฐมวัย
เมื่อครูเข้าใจขั้นตอนกระบวนการในการทำวิจัยในชั้นเรียนแล้วก็ต้องมาเขียนโครงร่างการวิจัยเพื่อเป็นการวางแผนหรือสร้างกรอบแนวคิดว่าจะทำอะไรทำไมต้องรวบรวมข้อมูลเพื่ออะไร ต้องการเก็บข้อมูลอะไร จะเก็บข้อมูลจากที่ไหนจากใคร จะเก็บข้อมูลเมื่อไหร่ นานแค่ไหน ใครเป็นคนเก็บข้อมูล จะรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร เป็นต้น
หัวข้อและโครงร่างการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนไม่เป็นทางการ(อย่างง่าย)
1. ชื่อเรื่องการวิจัย การตั้งชื่อเรื่อง อาจเขียนในรูปประโยคหรือข้อความสั้นๆ เฉพาะเจาะจง และเร้าความสนใจควรประกอบด้วย
1.1 ตัวแปร คือ สิ่งที่ต้องการศึกษา
1.2 ประชากร คือกลุ่มเป้าหมายของการวิจัย
1.3 วิธีศึกษา คือ ประเภทของการวิจัย ได้แก่ การวิจัยเชิงสำรวจ การวิจัยหาความสัมพันธ์ การวิจัยเปรียบเทียบ การวิจัยทดลอง ประดิษฐ์ และพัฒนานวัตกรรม
2. ชื่อผู้วิจัย ระบุชื่อ-นามสกุลผู้วิจัย
3. ความเป็นมาของปัญหา (การสะท้อนความคิดก่อนปฏิบัติการ)
เป็นการมองปัญหาสู่วัตถุประสงค์ เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงของความคิดจากปัญหาการวิจัย จนถึงความสำคัญของปัญหา แบ่งเป็น 5 ระดับ
1. อธิบายสภาพปัจจุบันกว้างๆ นำเข้าสู่ปัญหาการวิจัย
2. อธิบายสภาพปัจจุบันของสถานศึกษา หรือชั้นเรียน
- บอกเหตุผล หลักฐานประกอบ
3. ที่มาของปัญหาการวิจัย
- บอกผลวิจัยที่ผ่านมา/นโยบาย
4. ปัญหาการวิจัย
- บอกปัญหาที่แท้จริงที่ต้องการทำวิจัย
5. ความสำคัญของปัญหา
- ระบุความสำคัญ/จำเป็นและผลจะเกิดประโยชน์ต่อการศึกษาควรกระชับ เป็นเหตุผล นำสู่จุดประสงค์การวิจัย ควรใช้ข้อมูล/วิจัย อ้างอิง
4. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าเราต้องการจะทำวิจัยเพื่อตอบคำถามใด เพื่อแก้ปัญหาอะไร ของใคร ที่ไหน กี่คน วัตถุประสงค์การวิจัยจะต้องสอดรับกับปัญหาการวิจัยและหัวเรื่อง
5. การวางแผนเพื่อปฏิบัติการ ( Planning) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการเตรียมการวางแผนการปฏิบัติเพื่อการแก้ปัญหา โดยดำเนินการดังนี้
5.1 หาเทคนิควิธีการและนวัตกรรมที่ใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
5.2 กำหนดวิธีการปฏิบัติ ในประเด็นดังนี้
- จะแก้ปัญหาอะไร กับใคร
- จะแก้ไขเมื่อใด ระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ปัญหา
- จะใช้เครื่องมืออะไรในการเก็บรวบรวมข้อมูล
- จะใช้วิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร
6. การปฏิบัติการ (Action)
การลงมือปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจของการทำวิจัยเมื่อได้ทำการวางแผนและเตรียมการปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาเรียบร้อยแล้ว ครูต้องลงมือปฏิบัติการรวบรวมข้อมูลการวิจัยโดยใช้เทคนิควิธีการต่างๆ วิธีการเก็บข้อมูลที่สำคัญที่สุดคือ การสังเกต และเก็บข้อมูลในสภาพการจัดการเรียนการสอนปกติ ในขั้นปฏิบัตินี้อาจมีความยืดหยุ่นได้บ้างซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ที่ครูผู้ วิจัยอาจพิจารณาได้ตามความเหมาะสม ขณะการปฏิบัติการนั้นจะต้องใช้กระบวนการวิเคราะห์วิจารณ์ประกอบไปด้วย รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมวิจัยหรือใช้ข้อมูลอื่นๆ ประกอบเพื่อปรับปรุงตามความเหมาะสมด้วย
7. การสังเกตผลการปฏิบัติการ (Observation) เป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล หรือผลที่ได้จาการปฏิบัติการวิจัย ซึ่งอาจเสนอในรูปตาราง ตารางประกอบความเรียงหรือนำเสนอในรูปของความเรียง
8. สรุปและสะท้อนผลการวิจัย (Reflection) เมื่อครูทำการเก็บรวบรวมข้อมูลในขั้นตอนที่ 7เรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการสรุปพิจารณาองค์ความรู้ที่ค้นพบ เพื่อเป็นการประเมินผลการปฏิบัติงาน หรือผลการวิจัยที่ได้จากการปฏิบัติการในขั้นตอนที่ 6 โดยการวิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อสะท้อนไปสู่การปรับปรุงใหม่ หรือการทำซ้ำเพื่อยืนยันผลการวิจัน
หัวข้อและโครงร่างการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเชิงวิชาการ(แบบเป็นทางการ)
หัวข้อและโครงร่างการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเชิงวิชาการ(แบบเป็นทางการ)
ควรประกอบไปด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้
1. หัวข้อการวิจัย
2. ชื่อ-สกุล ผู้วิจัย
3. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
4. วัตถุประสงค์ของการศึกษา
5. ขอบเขตของการศึกษา ประกอบด้วย
-ขอบเขตด้านประชากร
-ขอบเขตด้านเนื้อหา
6. นิยามศัพท์เฉพาะ
7. ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษา
8. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
9. วิธีดำเนินการศึกษา ควรระบุหัวข้อต่อไปนี้
10. ระยะเวลาในการดำเนินการศึกษา
11. สถานที่ที่ใช้ในการดำเนินการและรวบรวมข้อมูล
เป็นขั้นตอนการวิจัยที่ดี แต่อยากได้ตัวอย่างการวิจัยที่เต็มรูปแบบค่ะ
อยากได้วิจัยชั้นเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยในเรื่องการแกล้งเพื่อนมากเลยต่ะเป็นงานวิจัยหน้าเดียว
ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อมูลการเขียนวิจัย/เสาวนีย์ จ.ตราดค่ะ
ดีมากๆเลยค่ะ อยากได้ตัวอย่างงานวิจัยสำหรับเด็กปฐมวัย ๔-๕ จะเป็นการรบกวนหรือเปล่าคะ
อยากได้ตัวอย่างงวิจัยที่สมบูรณ์มากคะ
อยากได้ตัวอย่างงานวิจัยที่เห็นได้ชัด
ดีค่ะอยากได้งานวิจัยเกี่ยวกับการปรับตัวของเด็ก