“หลักการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning)”
สิ่งใดก็ตาม ถ้าหากเราใช้ไปโดยไม่หยุดพัก เมื่อถึงวันหนึ่งก็จะชำรุดไม่สามารถใช้งานได้ต่อไป ลับเลื่อยให้คมจึงเป็นการให้พลังกับชีวิต ถ้าเลื่อยมันทื่อเพราะใช้งานหนัก ก็ลับมันบ้าง ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา เพราะถึงที่สุดแล้ว ชีวิตต้องมีความสมดุล จึงจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ถ้าคนเก่ง หรือคนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แต่ไม่พัฒนาตัวเอง ความรู้ความสามารถที่มีอยู่เดิมอาจจะใช้การไม่ได้ เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผลงานที่เคยทำได้ดีก็อาจจะไม่ดีเหมือนเคย เหมือนกับเลื่อยที่ถูกใช้งานไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่หมั่นลับคม สักวันมีดก็ทื่อ ใช้การไม่ได้ในที่สุด
"ลับเลื่อยให้คม" หมายถึง การแสวงหาความรู้ใหม่ๆให้แก่ตนเองอยู่เสมอใน 4 ด้าน การแสดงให้เห็นถึงพลังขับดันทั้ง 4 อย่างและการฝึกหัดใช้พลังทั้ง 4 ที่มีอยู่ในตัวเราอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อย่างฉลาดและสมดุลย์ ซึ่งจะทำได้ก็ต้องเป็นคนที่ชอบลงมือก่อน โดยหมั่นเติมพลังให้ชีวิต ทั้ง 4 ด้านได้แก่
1. ด้านกายภาพ เช่น หมั่นออกกำลังกาย พักผ่อนให้พอ กินอาหารที่มีประโยชน์
2. ด้านอารมณ์ เช่น มองโลกในแง่ดี คิดในสิ่งที่ดี ทำความดี สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เอาใจเค้ามาใส่ในเราและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
3. ด้านสติปัญญา เช่น อ่านหนังสือ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การเดินทางหาประสบการณ์ การเข้าอบรมสัมมนาในหลักสูตรต่างๆ
4. ด้านจิตวิญญาณ เช่น เข้าวัด ทำบุญ ปฏิบัติธรรม อยู่กับธรรมชาติ
อุปนิสัยที่ 7 เป็นหลักการปรับตัวใหม่ให้สมดุลซึ่งทำให้อุปนิสัยที่เหลือทั้งหมดทำงานได้ผล เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ช่วยรักษาและเพิ่มคุณค่าที่มีอยู่ในตัวให้มากขึ้น เป็นการปรับเปลี่ยนของสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราโดยธรรมชาติ 4 อย่าง ได้แก่ ร่างกาย จิตวิญญาณ สติปัญญา และความรู้สึกที่มีต่อสังคม ในขณะที่ภาคร่างกาย สติปัญญา และใจเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอุปนิสัยที่ 1, 2 และ 3 ซึ่งมีศูนย์รวมเน้นไปที่วิสัยทัศน์ส่วนตัว ความเป็นผู้นำ และการจัดการ แต่ทางภาคสังคมและอารมณ์จะเน้นไปที่อุปนิสัยที่ 4, 5 และ 6 ซึ่งมีศูนย์รวมที่เน้นไปที่การติดต่อระหว่างบุคคลของการเป็นผู้นำ การติดต่อสื่อสาร และการร่วมมือกันสร้างสรรค์ ดังนั้นการที่จะประสบความสำเร็จในอุปนิสัยที่ 4, 5 และ 6 นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของสติปัญญาแต่เป็นเรื่องของอารมณ์
นิทานสอนเด็กบางครั้งก็มีคติเตือนใจเราได้มาก ถ้าเราจะลองพิจารณาดู อย่างเรื่อง ห่านทองคำ ที่เราเรียน และได้ฟังมาตั้งแต่เล็ก
นิทานเรื่อง “ห่านทองคำ”
เรื่องมีว่าชายคนหนึ่งโชคดีได้ห่านมา ห่านตัวนี้ออกไข่มาเป็นทองคำทุกวัน ๆ เจ้าของดีใจมาก แต่ตอนหลังรู้สึกว่าได้วันละฟองมันน้อยไป อยากจะได้มากกว่านั้น และก็เชื่อว่าในตัวห่านน่าจะมีไข่ที่เป็นทองคำอีกตั้งเยอะแยะ ถ้าจะรอให้มันออกมาวันละฟอง ๆ มันช้าไป อย่ากระนั้นเลยคว้านท้องเอาไข่ออกมาดีกว่า ก็เลยฆ่าห่านตัวนั้น ปรากฏว่าไม่ได้ไข่ทองคำแม่แต่ฟองเดียว ชายคนนั้นลืมไปว่าถ้าอยากจะได้ไข่ทองคำมาก ๆ ก็ต้องดูแลรักษาตัวห่านให้ดี แต่นี่กลับไม่สนใจ มิหนำซ้ำไปฆ่ามันเสีย ก็เท่ากับว่าไปฆ่าต้นทุนเสีย จะมีผลงอกงามได้อย่างไร
ข้อคิดของนิทานเรื่องนี้
นิทานเรื่องนี้นอกจากจะสอนว่า "โลภมาก ลาภมักหาย" อย่างที่เราได้ยินครูสอนตอนเด็ก ๆ แล้ว ยังสอนผู้ใหญ่ด้วยว่า อยากได้ผล ก็ต้องสนใจที่ต้นทุนหรือเหตุปัจจัย ถ้าอยากได้ไข่เยอะ ๆ ก็อย่าไปใช้ทางลัด เช่น คว้านท้องห่าน วิธีที่ถูกต้องก็คือ ดูแลห่านให้ดีให้มันกินอิ่ม นอนนุ่ม มีสุขภาพดี ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องตระหนักด้วยว่า ห่านก็มีขีดจำกัดในการให้ไข่ ไม่ใช่ว่าวันหนึ่ง ๆ จะให้กี่ฟองก็ได้ตามใจเรา
เหมือนกับชีวิตของเราซึ่งมีขอบเขตจำกัดในการทำงาน วันหนึ่งร่างกายของเราทำงานได้อย่างมากก็ ๑๘ ชั่วโมง ถ้าไปเร่งหรือบังคับทำงานมากกว่านั้น เช่น กินกาแฟหรือยาบ้าจะได้ไม่ต้องหลับ ไม่นานก็ต้องล้มพับ โรครุมเร้า เท่ากับเป็นการทำร้ายร่างกายของเรา ไม่ต่างจากชายที่ฆ่าห่านเพื่อจะได้ไข่เยอะ ๆ สุดท้ายก็ไม้ได้อะไรเลย ผลก็ไม่ได้ ต้นทุนที่เคยมีก็เสียไป
อุปนิสัยที่ 7 เป็นการปฏิบัติตามอุปนิสัยที่กล่าวมาทั้ง 6 ประการ และผสมผสานอุปนิสัยเหล่านั้นให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสุขภาพทางด้านร่างกายและจิตใจของตนเอง ตลอดจนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข หมั่นทบทวนและนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยใช้อย่างฉลาดและสมดุล แล้วจะทำให้เราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิผลสูงสุด
นิทานเรื่อง “คนตัดไม้”
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคนตัดไม้ที่เก่งมากคนหนึ่ง ซึ่งได้ทำงานกับพ่อค้าไม้ เนื่องจากพ่อค้าไม้ได้จ่ายผลตอบแทนและสภาพการทำงานที่ดีให้แก่เขา ดังนั้น คนตัดไม้จึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำงานของเขาให้ดีที่สุด เจ้านายได้ให้ขวานและบอกให้เขาไปตัดไม้ในพื้นที่ที่กำหนดให้
ในวันแรกคนตัดไม้ สามารถตัดไม้ได้ถึง 18 ต้น เจ้านายประทับใจในตัวเขามาก และกล่าวชมเขา “ดีมาก ทำงานให้ดีต่อไปน่ะ”
เพราะเขาได้รับกำลังใจที่ดีจากเจ้านาย เขาจึงตั้งใจที่จะทำงานหนักขึ้นในวันต่อมา แต่เขากลับตัดไม้ได้เพียง 15 ต้นเท่านั้น
ในวันที่สาม เขาเพียรพยายามมากขึ้นไปอีก แต่กลับตัดไม้ได้เพียง 10 ต้นเท่านั้น
แต่ละวันผ่านไปเขากลับตัดไม้ได้น้อยลงทุกที คนตัดไม้รำพึงกับตนเองว่า ความแข็งแรงของเขาคงลดน้อยถอยลงเสียแล้ว
เขาจึงไปหาเจ้านายของเขาเพื่อขอโทษ และบอกกับเจ้านายว่า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผลลัพธ์มันจึงเป็นเช่นนี้
เจ้านายจึงถามเขาว่า “ เธอได้ลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”
“ลับขวานเหรอครับ ? ผมไม่มีเวลาที่จะลับขวานของผมเลย ผมยุ่งอยู่แต่การตัดต้นไม้”
ข้อคิดของนิทานเรื่องนี้
บางครั้งคนเราก็เหมือนกับชายคนนี้ คือ เอาแต่เลื่อยอย่างเดียวไม่ยอมหยุด ทั้ง ๆ ที่การหยุดพักจะทำให้มีพลังดีขึ้น และถ้ารู้จักหยุดเพื่อลับคมเลื่อยให้คมขึ้น ก็จะทำให้เลื่อยได้เร็วขึ้น ทุ่นทั้งแรงทุ่นทั้งเวลา แต่เขาก็ยังไม่ยอมเลย เหตุผลที่เขาให้ก็คือ กำลังวุ่นอยู่กับการเลื่อย เลยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจแม้กระทั่งการทำให้เลื่อยคมขึ้น เขาหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่เสียเวลานิดหน่อยก็จะทำให้การเลื่อยนั้นเร็วขึ้นดีขึ้น และเหนื่อยน้อยลง เขาไม่ยอมหยุดเพราะคิดว่า จะทำให้เสียเวลา ลึก ๆ ก็เพราะคิดว่า ทำอะไรมาก แล้วมันจะดี แต่ที่จริงแล้วทำน้อยลง แต่อาจได้ผลดีกว่าก็ได้ ในประสบการณ์ของเรา เราพบบ่อยไปว่า การทำอะไรให้ช้าลงกลับทำให้ได้ผลดีขึ้น
ชีวิตของพวกเราก็เช่นกัน บางครั้งเรายุ่งเสียจนไม่มีเวลาจะลับขวานให้คมอยู่เสมอ ในโลกทุกวันนี้ดูเหมือนทุกคนจะยุ่งมากขึ้น ทำงานมากขึ้น แต่กลับมีความสุขน้อยลง ทุกข์มากขึ้นกว่าเคย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
เป็นไปได้ไม่ว่า พวกเราลืมที่จะมีชีวิตอยู่อย่างชาญฉลาด มันไม่ผิดที่เราจะทำงานหนัก แต่เราไม่ควรจะเร่งรีบ วุ่นวายจนละเลยสิ่งที่สำคัญในชีวิต เช่น ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว ศาสนา การทำความดี เอาใจใส่ผู้อื่น การท่องเที่ยว และอื่นๆ
เราทุกคนต้องการเวลาที่จะพักผ่อน คลายเครียด ที่จะคิด ที่จะสร้างสมาธิ เจริญสติ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราไม่ยอมใช้เวลาที่จะลับคมให้แก่ชีวิตของเรา เราจะกลายเป็นผู้ที่โง่เขลาและสูญเสียซึ่งประสิทธิผลและศักยภาพของเรา
เราต้องมีความรับผิดชอบที่จะรักษาและพัฒนาศักยภาพของเรา เพราะมันจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะรับประกันความสำเร็จ และความเป็นที่ต้องการในอาชีพของตัวเรา ดังนั้น ขอให้เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ลองคิดหาหนทางที่จะพัฒนาศักยภาพของเรา เพื่อที่จะทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่งานของเรามากขึ้น
การไปปฏิบัติธรรม จะเรียกว่า เป็นการมาลับคมเลื่อยก็ได้ เราวางเลื่อยเอาไว้ก่อน แล้วมาลับคมเลื่อย ก่อนที่จะเลื่อยต่อไป การพักผ่อนในตัวมันเองก็เป็นการลับคมเลื่อยอยู่แล้ว แค่พักผ่อนร่างกายก็สำคัญไม่น้อย เพราะว่าร่างกายชองเราก็คือ ตัวเลื่อยนั่นเอง แต่ตอนนี้มันบิ่นแล้ว ทำงานมากมันก็บิ่น มันไม่คมแล้ว เพียงแค่การมาพักร่างกายอย่างเดียว ก็จะช่วยให้เลื่อยคมขึ้น
เรามาพักใจด้วยการฝึกจิตให้สงบมีสติมีความมั่นคง และทำให้ชีวิตมีสมดุล ก็เท่ากับว่าเลื่อยถูกลับให้คมขึ้นกว่าเดิม ถ้าเรากลับไปเลื่อยต่อเมื่อไหร่ ก็แน่ใจได้ว่าจะเลื่อยได้ดีขึ้นเร็วขึ้น แต่ถ้าเราไม่พักเสียเลย อย่างชายคนนั้นไม่พักเสียเลย แทนที่จะทำได้เร็วก็กลับทำได้ช้า หรืออาจจะทำไม่เสร็จเลยก็ได้ เพราะว่าล้มพับเสียก่อน แทนที่จะเสร็จในตอนค่ำก็มาเสร็จวันรุ่งขึ้นช้าไปอีกตั้งหลายชั่วโมง เพราะว่าป่วยเสียก่อน หรือไม่มือไม้ก็พองทำต่อไม่ได้ ยิ่งอยากจะให้เสร็จไว ๆ กลับเสร็จช้าแต่ถ้าเว้นวรรคให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนบ้าง ก็จะทำงานได้ดี การหยุดพักนั้นดูเผิน ๆ เหมือนจะทำให้เสร็จช้าลง แต่ที่จริงทำให้เสร็จไวขึ้น
คนเรามักไปเน้นเรื่องผลหรือความสำเร็จมากไป แต่ลืมต้นทุนที่จะเอาลงไปในงานนั้น ๆ ผลสำเร็จหรือผลงานก็เหมือนกับผลไม้ ผลไม้ออกมาดีหรือไม่ต้องอาศัยต้นทุนคือ ต้นไม้ ถ้าต้นไม้นั้นเราเอาใจใส่ดูแล รักษา รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ต้นไม้เติบโตแข็งแรง ก็ย่อมให้ผลดี ทั้งดก และหอมหวานทำนองเดียวกันกับดอกเบี้ยเงินฝาก จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนที่ฝาก ถ้าเงินต้นก้อนนิดเดียวดอกเบี้ยก็น้อยตามไปด้วย ถ้าสนใจแต่ดอกเบี้ย อยากได้ดอกเบี้ยเยอะ ๆแต่ไม่สนใจต้นทุนความอยากนั้นก็เป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ แต่ว่าคนจำนวนมากก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ ก็คือว่า อยากจะให้งานออกมาดี ประสบความสำเร็จเต็มที่ แต่ว่าไม่ได้เอาใจใส่ต้นทุนคือร่างกายและจิตใจ ร่างกายและจิตใจเป็นต้นทุนสำคัญ หรือปัจจัยพื้นฐานที่จำนำไปสู่งานที่ดีได้ ถ้าร่างกายอ่อนแอ จิตใจห่อเหี่ยว ท้อแท้อารมณ์ไม่ดี ความสำเร็จก็เกิดขึ้นได้ยาก
อุปนิสัยนี้ ต้องการบอกให้เราหมั่นฝึกฝนพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเก่งขึ้นอยู่เสมอนั่นเอง
เคล็ดลับ การสร้างสมดุลในการเรียนรู้ตลอดชีวิต การฝึกฝน และการพัฒนาตนเองกับการทำงาน คือ การลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอนั่นเอง เพราะโลกหมุนเร็วไปทุกวัน เราต้องหมุนให้เร็วกว่าโลก หรือ อย่างน้อยต้องไม่ช้ากว่าโลก เมื่อก่อนมีคำว่า "ถ้าเราหยุด ก็เหมือนกับถอยหลัง" แต่ตอนนี้ "แค่เราเดิน ก็เหมือนถอยหลังแล้ว เพราะคนอื่นเขาวิ่งกัน!! " ดังนั้น “อย่าหยุดนิ่งอยู่กับที่…”
อ่านอุปนิสัยข้ออื่นได้ที่นี่ค่ะ http://gotoknow.org/blog/the7habits
ไม่มีความเห็น