หนังสือแปลเล่มหนึ่ง ชื่อ "มองด้วยใจ" ที่เขียนโดย "โยชิโนริ โนงุจิ" แปลโดย "ทิพย์วรรณ ยามาโมโตะ" ซึ่ง "โยชิโนริ โนงุจิ" เป็นผู้เขียนหนังสือขายดี เช่น กฎแห่งกระจก, EQ Note ความสำเร็จเริ่มต้นที่หัวใจ, กฎแห่งกระจก ฉบับการ์ตูน ฯลฯ
หน้าปกมีสีชมพูสด หากจะบอกตามตรงว่า ผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือแปลเลย เพราะยิ่งอ่านยิ่งไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ค่อยซึบซับความเป็นวัฒนธรรมของผู้เขียนเท่าไหร่ ยิ่งเกิดมีผู้แปล แปลก๊อก ๆ แก๊ก ๆ เปิดรอบเดียวก็จะไม่หยิบมาอ่านต่อ
แต่เล่มนี้ เกิดอะไรขึ้นกับผมก็ไม่ทราบ อ่านแล้วมันตรงเข้ามาในหัวใจเลย หรือว่าวัฒนธรรมตะวันออก มันคือ วัฒนธรรมเอเชีย ทีเราสามารถสัมผัสได้โดยตรงและง่ายต่อความเข้าใจก็ไม่ทราบนะครับ
ตอนหนึ่งในหนังสือที่จะยกตัวอย่างมาในบันทึกนี้ ผมประทับใจเป็นการส่วนตัว
เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้พบคนประเภทนี้แล้ว เนื้อหาในหนังสือตอนนี้มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราสามารถจะวิเคราะห์บุคคลลักษณะนี้ได้อย่างชัดเจน และมีความน่าจะเป็นค่อนข้างมาก และพวกเราเองนี่แหละที่กล่อมเกลาให้เขาเป็นคนเช่นนี้
ลองสัมผัสกับงานเขียนตอนนี้ดูนะครับ ...
ทุกวันนี้ผมได้พบปะพูดคุยกับผู้คนมากมาย ทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ หรือนักเขียน ไม่ว่าพวกเขาจะประกอบอาชีพใดก็ตาม ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนเก่งชั้นแนวหน้าทุกคนต่างก็มี "ความอ่อนน้อมถ่อมตน" ด้วยกันทั้งสิ้น
ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ยิ่งใหญ่ในแต่ละสายอาชีพ มักเป็นคนที่ไม่ลุ่มหลงในความสามารถหรือตำแหน่งของตนเอง แต่พูดเพียงว่า "ตนยังอ่อนหัดนัก" ไม่มีใครโอ้อวดในความสามารถหรือผลงานของตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อได้สัมผัสกับความสงบเสงี่ยมเจียมตัวเช่นนั้น ผมก็เกิดความรู้สึกชื่นชม ในขณะเดียวกันก็รู้ซึ้งถึงความต่ำต้อยของตัวเองและอยากจะปรับปรุงตัวใหม่ทุกครั้งไป
(เมื่ออ่อนน้อมถ่อมตน ใครก็จะชื่นชมจริง ๆ ครับ เพราะจะเอาชนะใจเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี : ผู้เขียนบันทึก)
คำสอนที่มีชื่อเสียงของ "เหลาจื่อ" บทหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ความดีอันสูงสุดเปรียบเสมือนกับน้ำ" ความดีอันสูงสุด หมายถึง การดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด ซึ่งสิ่งนั้นก็เปรียบเหมือนกับน้ำ
โดยทั่วไปแล้วคนเรามักต้องการให้ผู้อื่นชื่นชมและยกย่องตนเอง ทุกครั้งที่เราพบปะผู้คนจึงพยายามแสดงตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น
ทว่าตรงกันข้ามกับน้ำที่มักพาตัวเองไหลลงสู่ที่ต่ำ จึงไม่มีการแข่งขันกับใคร จุดเด่นของน้ำคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความพยายามที่จะพาตัวเองลงสู่ที่ต่ำ และมีความยืดหยุ่นพร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองได้ทุกรูปร่าง และนั่นคือ วิถีการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด ซึ่งเหลาจื่อสอนไว้
ตามปกติ เมื่อคนเราประสบความสำเร็จจากการทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือมีผลงานในระดับหนึ่งแล้ว ก็มักหยิ่งทะนงตนว่า "เราเก่งถึงได้ประสบความสำเร็จ" และอยากโอ้อวดความสามารถ ตำแหน่ง และผลงานเหล่านั้น
ทว่าเมื่อเราตกอยู่ในสถานภาพที่ขาดความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ ยิ่งจะทำให้เราไม่ย้อนกลับมามองวิธีการดำเนินชีวิตของตนเอง จนไม่อาจเติบโตขึ้นในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่งได้
ในทางกลับกัน คนที่ก้าวไปถึงระดับชั้นแนวหน้าแล้วจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน จึงย้อนกลับมามองตนเองอยู่เสมอ และสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วความอ่อนน้อมถ่อมตนที่ว่านี้เกิดขึ้นมาจากไหนกัน ผมคิดว่า ต้นกำเนิดของความอ่อนน้อมถ่อมตนมาจาก 2 สิ่งสำคัญ ต่อไปนี้
สิ่งแรกคือ "จิตวิญญาณแห่งการขอบคุณ" ซึ่งเกิดจาก "ความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่เกิดขึ้นพร้อมกับความสงบเสงี่ยมเจียมตัว" คือการไม่คิดว่า "เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยกำลังของตนเอง" แต่คิดว่า "เรามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะน้ำ อากาศ และดวงอาทิตย์ เพราะธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ และเพราะผู้คนมากมายที่มีโอกาสได้มาพบกัน"
ความรู้สึกขอบคุณนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเงื่อนไขที่ว่า "เพราะเกิดเรื่องดี ๆ แล้วถึงรู้สึกขอบคุณ" แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า "การดำรงชีวิตอยู่ได้ในขณะนี้ก็นับเป็นเรื่องที่น่าขอบคุณแล้ว" ซึ่งเป็นความรู้สึกขอบคุณที่ไร้เงื่อนไข เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกขอบคุณอันหาที่สุดมิได้
ผู้ที่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ก็จะไม่คิดว่าเป็นฝีมือของตนเองอยู่เพียงคนเดียว แต่จะรู้สึกขอบคุณเพราะคิดว่าสิ่งนั้นคือ หน้าที่หรือภารกิจของตนเอง และมีจิตสำนึกว่า "เรามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะปัจจัยหลาย ๆ สิ่ง การได้ทำหน้าที่ของตัวเองเช่นนี้ช่างมีความสุขจริง ๆ เราอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่เพื่อตอบแทนบุญคุณของสังคม"
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่คิดว่าคนอื่นเป็นคู่แข่ง หรือแม้จะได้เป็นที่หนึ่งแล้วก็จะรู้สึกพอและหยุดได้เพียงเท่านั้น อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่มีจิตสำนึกเช่นนี้ที่จะสามารถก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
(มันเป็นการขอบคุณด้วยหัวใจของตัวเราเอง ไม่ใช่ ขอบคุณเพราะเป็นเพียงกุศโลบาย เพื่อหวังประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่านั้น : ผู้เขียนบันทึก)
ต้นกำเนิดแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างที่สอง คือ "ความมั่นใจอย่างแท้จริง"
เมื่อเราขาดความมั่นใจในตัวเอง เราก็จะพยายามแต่งเติมตัวเองด้วยความสามารถ ยศถาบรรดาศักดิ์ และผลงาน เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่นั้นใช้ไม่ได้ จึงต้องการรวบรวมหลักฐาน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น
และคิดว่าหลักฐานเหล่านั้น (ยศถาบรรดาศักดิ์ ผลงาน และความสามารถ) เป็นส่วนหนึ่งของตัวเองโดยไม่รู้ตัว กล่าวคือ คิดว่าเอกลักษณ์ (ลักษณะที่แสดงความเป็นตนเอง) ของตน อยู่ที่ความสามารถ ยศถาบรรดาศักดิ์ และผลงาน
ดังนั้นจึงพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะให้ได้มาซึ่งความสามารถ ยศถาบรรดาศักดิ์ และผลงานเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตนเอง และเมื่อได้สิ่งเหล่านั้นมาอยู่ในมือ ก็จะจมอยู่กับภาพลวงตาที่ว่า "เราเป็นคนเก่งแล้ว" ในกรณีนี้เขาจะคิดว่า "เรามีคุณค่าเพราะมีความสามารถ ยศถาบรรดาศักดิ์ และผลงาน" ทำให้เขาดูถูกคนที่ยังไม่สิ่งเหล่านั้น และห่างไกลจากความอ่อนน้อมถ่อมตนจนกลายเป็นคนอวดดีไปในที่สุด
ในทางกลับกัน คนที่มีความมั่นใจอย่างแท้จริงจะรู้สึกว่า "ไม่ต้องพึ่งพาความสามารถ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือผลงาน เพราะคิดว่าตัวเราก็เป็นสิ่งที่วิเศษ" จึงไม่มองว่าตัวเองและความสามารถ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือผลงานเป็นสิ่งเดียวกัน แม้จะประสบความสำเร็จ มีความสามารถ ยศถาบรรดาศักดิ์ และผลงานอยู่ในมือแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่หลงงมงายว่า "เราเป็นคนเก่งแล้ว" ตรงกันข้ามกลับรู้สึกขอบคุณว่า "น่าขอบคุณจริงที่เราได้รับสิ่งต่าง ๆ มากมาย"
ความมั่นใจอย่างแท้จริงนี่เองที่ทำให้เขามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกต่ำต้อย แต่เปล่งประกายอยู่ภายใต้ความสงบเสงี่ยมเจียมตัวที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้
(เมื่อความสำเร็จมากองอยู่ตรงหน้าหลายครั้ง คนเรามักจะหลง เสพ และ ติดได้อย่างง่ายดาย และมักจะติดสินใจเหยียบหัวใครก็ได้ที่มาคิดไม่ตรง คิดขัดแย้งกับตนเอง : ผู้เขียนบันทึก)
ไนติงเกล กล่าวไว้ในผลงานของเธอว่า "เวลาที่คนเราได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่นคือ เวลาที่อันตรายที่สุด" และในคัมภีร์ไช่เกินถาน ก็มีคำกล่าวที่มีความหมายคล้ายคลึงกันว่า "ยิ่งชีวิตดำเนินไปได้ด้วยดีเท่าใด ก็ยิ่งต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากขึ้นเท่านั้น"
เวลาที่ชีวิตเราดำเนินไปได้ด้วยดีและได้รับคำยกย่องสรรเสริญจากคนรอบข้าง เรามักจะลืมความอ่อนน้อมถ่อมตนไป ดังนั้น เราจึงควรตระหนักในข้อนี้ไว้อยู่เสมอ
(การยกย่อง สรรเสริญ เป็นสิ่งดี แต่หากเราให้มากเกินไป ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอ เพราะจะทำให้คนเรายกย่อง สรรเสริญนั้น หลงตัวเอง อวดดี ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจ คิดแต่ว่าเพื่อให้กำลังใจเขา เพื่อให้เขาสบายใจในสิ่งที่เขาคิด ไม่ต่างอะไรไปจากการเลี้ยงลูกแล้วตามใจ ตามใจจนเสียความเป็นคนดีไป สิ่งเหล่านี้เอง ทำให้เขาเปลี่ยนไป ไม่เหมือนคนเดิมที่เราเคยรู้จัก)
ทางตรงกันข้าม เมื่อเราพบกับความยากลำบากหรือภาวะวิกฤตในชีวิต อาจพูดได้ว่า นั่นเป็นโอกาสอันดีที่เราจะทำตัวให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นโอกาสทำให้เราได้รู้ซึ้งว่าการมีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างปกตินั้นเป็นเรื่องน่าขอบคุณแค่ไหน และยังเป็นโอกาสให้เราได้ย้อนกลับไปมองวิถีการดำเนินชีวิตของตนเอง และเติบโตขึ้นในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่งด้วย
ในชีวิตจริง หากเรามี "ความอ่อนน้อมถ่อมตน" ทั้งในเวลาที่ชีวิตดำเนินไปได้ด้วยดีหรือแม้ในภาวะวิกฤตได้ เราก็อาจเป็นคนหนึ่งที่เรียกได้ว่า เป็นคนเก่งชั้นแนวหน้าเช่นกัน
................................................................................................................................................
ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ เครื่องหมายสำคัญของคนเก่ง คนดี ที่รู้จักถ่อมตน พร้อมที่จะเป็นน้ำครึ่งแก้วที่พร้อมกับความรู้ใหม่ ๆ เสมอ
แต่เมื่อใดก็ตามที่คนเก่งเหล่านั้นเปลี่ยนไป
นั่นแสดงว่า เขาได้เกิดความหลงในความเก่งของตัวเอง คิดว่า ตนเองเก่งที่สุดในโลก หูก็จะปิด ฟังใครไม่เป็น ใครพูดอะไรก็จะไม่ฟังอีกต่อไป เพราะเชื่อว่า ตนเองถูกที่สุด
คนแบบนี้สมัยก่อนเขาเป็นคนดีนะครับ เมื่อความหลงสิงอยู่ในตัวแล้ว เขาจะกลายเป็นอีกคนอย่างน่าตกใจ
ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นนะครับ
เช่น เรามีเพื่อนที่เก่ง ๆ ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมสักคนหนึ่ง เพราะเรายอมรับในความเก่งกาจของเขา เราจึงดูแลเขาเป็นอย่างดี เขาอยากได้อะไร เราก็หามาให้ หรือไม่ก็ตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการทันทีทันใด เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ เข้า ความหลงในตน ย่อมเป็นเรื่องที่ติดอยู่ เชื่ออยู่ จึงเป็นเรื่องที่ง่ายต่อการหลงของตัวเขาเอง
นิสัยเขาจะเปลี่ยนไปครับ ใครขัดใจไม่ว่าจะเป็นใคร เขาจะตัดความสัมพันธ์นั้นทิ้งได้อย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่เราเป็นเพื่อนที่รักใคร่กันมากมาก่อนก็ได้นะครับ
คิดถึงเรื่อง "การให้กำลังใจ" ในโลกออนไลน์นะครับ
เราควรใช้ "สติ" ในการให้กำลังใจให้มากขึ้นไหมครับ
หรือมันติดมือ คลิกแป๊บเดียวก็ขึ้นแล้ว บางทีมันอาจจะทำร้ายคนที่เราให้อย่างไม่รู้ตัวด้วยความเคยชินแบบนี้ก็ได้นะครับ
"กำลังใจ" สร้างความสัมพันธ์ที่ดีครับ
แต่การสอนให้เพื่อน "เปิดใจ" ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง จะดีกว่าหรือเปล่าครับ
การแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้ตามความเป็นจริง ความรู้ย่อมขยายฐานออกไปอย่างกว้างขวางและมีแนวทางที่ถูกต้อง ไม่เกิดความหลงผิดอย่างง่ายดาย
เพราะมันอาจจะเกิดจากความมักง่ายของเราเองก็ได้นะครับ
ไม่ใช่เพียงแค่คลิก Like , ให้กำลังใจ หรือ ให้ดอกไม้ ???
บุญรักษา ทุกท่านครับ ;)...
................................................................................................................................................
ขอบคุณหนังสือดี ๆ
โนงุจิ, โยชิโนริ (ทิพย์วรรณ ยามาโมโตะ แปล). มองด้วยใจ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ How-To, 2553.
สวัสดีค่ะอาจารย์ 'Wasawat Deemarn'
อ่านปริทรรศน์หนังสือ 'สิ่งที่คนเก่งชั้นแนวหน้าทุกคนมีเหมือนกัน'
ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวของชาวญี่ปุ่นโดยแท้ อ่อนน้อมเมื่อได้รับคำชมเป็นไปโดยมารยาท ซึ่งเป็นที่รู้กัน แต่ใครอย่ามาแตะ...สู้หัวชนฝาเลยแหละ
มาถึงเรื่องการให้ดอกไม้ ......เวลาเข้าไปอ่านบันทึกของสมาชิกท่านอื่น เห็นมีตอบขอบคุณคนที่ให้ดอกไม้กำลังใจ ก็กลับมาตอบขอบคุณกลับไปบ้าง เพราะแต่เดิมก็ไม่เคยตอบกลับ ความรู้สึกไม่ยุ่งยากอะไรที่จะตอบ แต่ข้อความมันซ้ำกัน มีคำว่าขอบคุณฟุ่มเฟื่อยมาก ยังคิดอยู่ว่าจะไม่ตอบขอบคุณกลับในการให้ดอกไม้
ขอบคุณมากค่ะอาจารย์...ขอมอบดอกไม้ให้ด้วยนะคะ แต่ไม่ต้องตอบกลับ เพราะรู้ว่ายังไงอาจารย์ก็ต้องอ่านค่ะ...
"จิตวิญญาณแห่งการขอบคุณ" + "ความมั่นใจอย่างแท้จริง"
คิดว่าการขอบคุณในระดับจิตสำนึก คือการยอมรับ เวลาทำงานร่วมกันคะ เรามั่นใจในศักยภาพบางอย่าง แต่หลายอย่างก็ต้องพึ่งพาคนอื่น
บทความนี้ดีจัง..อ้าวเผลอให้ดอกไม้ไปแล้ว
ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์ ดร. พจนา - แย้มนัยนา ;)...
ไม่ฟุ่มเฟือยครับ ... ตอบทันที ;)...
อ้าว เผลอใจมาแล้วเหรอครับ คุณหมอ CMUpal ;)...
ยินดีน้อมรับด้วยความเต็มใจทันใดครับ
"เวลาที่คนเราได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่นคือ เวลาที่อันตรายที่สุด"
...
เห็นด้วยกับวาทะประโยคนี้มากครับ
เล่มนี้ดีมากๆครับ..
ขอบคุณมากครับ คุณ แผ่นดิน ;)...
วาทะนี้มีอายุหลายร้อยปีแล้วครับ
กล่าวโดย ฟลอเรนต์ ไนติงเกล ผู้ให้กำเนิดการพยาบาลของโลก
แต่เสียดายที่หลายคนขาดสติรู้ตัวเอง
ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์ ดร.ภิญโญ ;)...
ดีจริง ๆ ด้วย ยิ่งอ่านยิ่งชอบครับ