"การเขียน" ทำให้เกิดคำว่า "สถิตความคิด" และ "ตระหนักรู้" ... (ใคร ๆ ก็เขียน (บันทึก) ได้)


คนเรามีความสามารถในการคิดและเขียนเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าเราถูกพรากความสามารถนี้ไปโดยระบบการศึกษา ที่สั่งให้เรากรอกคำตอบในกระดาษข้อสอบแบบ Multiple Choice

คุณหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์ ผู้เขียนหนังสือ "มหัศจรรย์แห่งการเขียน" ได้นำบทความจากการสัมภาษณ์คุณหมอ โดยคุณวุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ มาลงเอาไว้ในบทที่ 35 เรื่อง นักคิดของนิตยสาร GM หน้าที่ 138

ผมเห็นว่า ก่อนที่หนังสือจะถูกส่งลงใต้ไปให้กับใครสักคน บทความนี้เป็นบทความที่ทำให้เราทุกคนใน Gotoknow สามารถเข้าใจความสำคัญของ "การเขียน" ได้มากขึ้น ลึกซึ้งขึ้นอย่างแน่นอน

บทความนี้อาจจะดูยาว แต่มีคุณประโยชน์มหาศาล

อยากให้เพื่อน ๆ และกัลยาณมิตรทุกท่าน ลองค่อย ๆ อ่านดูนะครับ

ผมเป็นกำลังใจให้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ;)... 

 

 

............................................................................................................... 

บทความ "นักคิดนักเขียน"
โดย คุณวุฒิชัย  กฤษณะประกรกิจ
นิตยสารจีเอ็ม ฉบับวันที่ 16 เมษายน 2552 หน้า 313

...............................................................................................................

 

 

เริ่มต้น ...

 

นอกจากจะได้รับมอบหมายจากบรรณาธิการให้เขียนบทความเกี่ยวกับนักคิดชิ้นนี้แล้ว ผมยังรับทำบทสัมภาษณ์นักคิดสองคน คือ คุณหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์ และอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ด้วยความบังเอิญ หรืออะไรก็ไม่ทราบ ทั้งสองท่านได้ให้สัมภาษณ์ในบางประเด็นตรงกันอย่างน่าตั้งข้อสังเกต คือ เรื่องความเกี่ยวพันกันระหว่างการคิดและการเขียน

 

 

มุมมองของ "คุณหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์"

 

ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ผมเดินทางไปจังหวัดเชียงรายเพื่อสัมภาษณ์คุณหมอวิธาน มีอยู่ประเด็นหนึ่งซึ่งติดใจผมมาก คุณหมอได้พูดไว้ตอนท้ายของการสัมภาษณ์ว่า การได้ทำงานเขียนคอลัมภ์ประจำในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันติดต่อกันหลายปี ช่วยทำให้เขาได้ตกผลึกทางความคิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชีวิตโดยรวมทุกด้าน คุณหมอได้สรุปว่า การเขียนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการคิด

เมื่อเขาไปทำงานจัดเวิร์กช็อปอบรมกับบุคลากรด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ เขาจึงแจกสมุดเปล่าให้กับผู้เข้าร่วมคนละ 1 เล่ม ไม่ใช่เพื่อให้ใช้จดเลกเชอร์การบรรยาย แต่เพื่อให้เขียนอะไรก็ได้ที่ออกมาจากความคิดและความรู้สึกของตนเอง โดยคุณหมอเชื่อว่าการเขียนจะทำให้ผู้เข้าร่วมการเวิร์กช็อปทุกคน สามารถตกผลึกทางความคิดได้เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อได้ย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในวันแรก ๆ เทียบกับวันท้าย ๆ มักจะแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิดไปในทางที่ดีขึ้นและลึกซึ้งขึ้น

 

 

มุมมองของ "อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร"

 

หลังจากที่กลับมาเชียงราย การสัมภาษณ์คุณหมอวิธานยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา จนกระทั่งในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา ผมไปสัมภาษณ์อาจารย์ไชยันต์ ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และก็พบว่า เขาได้พูดถึงประเด็นที่ใกล้เคียงกันมาก

อาจารย์ไชยันต์ให้คำอธิบายส่วนตัว ถึงสิ่งที่เรียกว่า "แกนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ" (แนวคิดของคาร์ล จาสเปอร์ ที่ใช้อธิบายการผุดกำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ของปรัชญาและนักปรัชญาในทั่วทุกมุมโลก เมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน) ว่าเกิดขึ้นจาก "วัฒนธรรมการเขียน"

แรกเริ่มเดิมที คนเราใช้ภาษาพูดในการสื่อสารถึงกันเป็นหลัก จนเมื่อเกิดการเขียนทำให้เราสามารถ "สถิตความคิด" ของตนเอง จากแต่เดิมที่ฟุ้งกระจายและสูญหายไปกับการคิดในใจ หรือการพูดคุยปากเล่ากันตามสถานการณ์ เมื่อมันถูกทำให้สถิตเป็นตัวอักษรบนกระดาษ เราสามารถย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่ตนเองคิดและเขียน ทำให้เข้าใจตนเองว่า "เราคือใคร" การเขียนจึงเปรียบเสมือนเป็นกระจกสะท้อน ที่ทำให้คนเราสามารถตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของตนเองบนโลก

และนี่คือ จุดเริ่มต้นของปรัชญาในทุกมุมโลก

 

 

"การเขียน" ทำให้เกิดการ "สถิตความคิด"

 

จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับหมอวิธานและอาจารย์ไชยันต์ เพราะผมพบว่า การได้เขียนบทความประจำ ตั้งแต่สมัยเมื่อ 10 ปีก่อนที่เป็นคอลัมน์ Cyber Being ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ต่อมาย้ายมาเขียนประจำอยู่ในนิตยสารจีเอ็ม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ คือ โอกาสสำคัญที่จะได้สถิตความคิดของตนเองไว้ และสื่อสารมันออกไปให้คนอื่นได้รับรู้ และสิ่งนี้ได้ทำให้ "ผม" ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อสามปีก่อน นอกจากการเขียนคอลัมน์ในนิตยสารเป็นประจำแล้ว ผมเริ่มใช้ Blog เป็นเครื่องมือในการสถิตความคิดของตนเอง เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อที่เปิดกว้างกว่า ไม่มีข้อจำกัดในด้านพื้นที่และเงื่อนไขด้านธุรกิจใด ๆ จนถึงทุกวันนี้ ผมเขียนบทความทิ้งไว้ใน Blog แล้วมากกว่า 400 เรื่อง และก็ยังเขียนอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน (ยกเว้นช่วงที่งานเข้าจริง ๆ เท่านั้น) ด้วยความสุขและความเต็มใจ

เพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยมาถามว่า มึงบ้ารึเปล่าวะ!? มึงจะเขียนหนังสือให้คนอื่นเข้ามาอ่านฟรี ๆ ทุกวัน ๆ ไปเพื่ออะไร นี่มันแทบไม่มีค่าทางเศรษฐกิจเลย แถมเขียนไปแล้วจะมีใครสนใจมาอ่านมันมากแค่ไหนก็ไม่รู้ มีแต่จะทำให้เสียแรง เสียเวลาเปล่ามากกว่า สู้มึงเอาแรงและเวลานี้ไปเขียนอะไรที่มันได้ตังค์จะดีกว่าไหม?

ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้คำตอบเหมือนกัน รู้เพียงแค่ว่า เขียนแล้วทำให้รู้สึกดี เขียนแล้วทำให้เข้าถึงตนเอง และมันจะเพิ่มพูนสะสมขึ้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งเมื่อได้ย้อนกลับไปอ่านทุกตัวอักษรที่ตนเองเคยเขียนไว้ ผมยิ่งได้มองเห็น "ผม"

โชคดีที่ได้ไปสัมภาษณ์หมอวิธานและอาจารย์ไชยันต์ พวกเขาช่วยทำให้เข้าใจและมีคำตอบในประเด็นนี้

 

 

"การเขียน" ทำให้เกิด "การตระหนักรู้"

 

คำว่า "ผม" ในที่นี้ไม่ใช่ ego อย่างที่เรามักจะใช้คำว่า ego ในความหมายที่ผิดเพี้ยนไป ว่าคือ ความหยิ่งผยอง โอหัง หรือจริตแบบที่ชอบโอ้อวดใครต่อใครว่า ข้าคือนักเขียน ข้าคือคอลัมนิสต์ ข้าคือนักคิด เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่ผมเขียนไปทั้งหมดนับสิบปี ก็ไม่เห็นว่ามีใครสนใจหรือพูดถึงสักเท่าไร

สำหรับผม ถือว่าการเขียนเป็นกิจกรรมส่วนตัว ดังนั้น "ผม" ในที่นี้จึงหมายถึงตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของตนเอง รู้ว่าตนเองคือใคร ผ่านการอ่านสิ่งที่ตนเองได้เขียนไว้ เพื่อจะได้รู้ว่าเคยคิดอะไร กำลังคิดอะไร และเผื่อว่าจะคิดอะไรต่อไปได้อีก ซึ่งทั้งหมดนี้มันสำคัญมากต่อการมีชีวิตอยู่

การตระหนักรู้ตนเองนั้นมันสำคัญอย่างไรต่อการมีชีวิตอยู่ นี่มันเป็นคำถามเชิงปรัชญามาก ๆ เลยนะ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แต่ผมมีความพึงพอใจที่จะได้ตั้งคำถามและถูกตั้งคำถามแบบนี้

 

 

"การเขียน" ไม่ใช่ "กิจกรรมเฉพาะกลุ่มคน"

 

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับนิตยสารใหม่เล่มหนึ่ง มีทีมงานเป็นรุ่นน้องสองคน ตอนที่เรากำลังมีประชุมเพื่อจัดวางเนื้อหาและแบ่งงานกันทำ ผมเสนอให้พวกเขามีพื้นที่ในนิตยสารเล่มนี้คนละประมาณครึ่งหน้า เพื่อเปิดเป็นคอลัมน์ประจำของตนเอง

น้องคนหนึ่งถามว่าเด็กเพิ่งเรียนจบมาใหม่อย่างเขา จะเขียนคอลัมน์ได้หรือ?

น้องอีกคนหนึ่งบอกว่า เขาอยากเขียนแต่เขายังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไรดี?

ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่กำลังถูกหลอกให้หลงเชื่อว่า การเขียนเป็นกิจกรรมที่ทำได้เฉพาะคนบางพวก บางกลุ่ม เช่น พวกนักวิชาการ นักเขียน คอลัมนิสต์ ดารา คนดัง ฯลฯ เพราะตามหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และบนแผงหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ก ถูกจับจองไว้หมดแล้ว โดยคนที่ถูกระบุตัวให้เป็น "นักคิด"

ผมคิดว่า คนเรามีความสามารถในการคิดและเขียนเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าเราถูกพรากความสามารถนี้ไปโดยระบบการศึกษา ที่สั่งให้เรากรอกคำตอบในกระดาษข้อสอบแบบ Multiple Choice มาตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย ระบบการศึกษาแบบที่ไม่ยอมให้เราเขียน คือระบบการศึกษาที่ไม่สนใจว่าเราคิดอะไร สนใจเพียงแค่ว่าเรารู้อะไรจากในห้องเรียนเท่านั้นเอง

เมื่อไม่ได้เขียน ก็ยากที่เราจะสถิตความคิด เมื่อไม่ได้สถิตความคิด เราก็เลยพานคิดไปว่าตัวเองไม่ได้คิด หรือคิดไม่ได้ดีเท่าพวกที่ถูกระบุตัวไว้ว่าเป็น "นักคิด"

ในที่ประชุม ผมตอบรุ่นน้องทั้งสองคนนี้ไปว่า ให้เขียนความคิด ความรู้สึก ไอเดียประสบการณ์หรือเรื่องอะไรก็ได้ตามแต่ใจ ขอให้เขียนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของนิตยสารของเรา และเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างสูงต่อตนเองและต่อผู้อ่าน

แล้วในที่สุดเมื่อถึงกำหนดส่งต้นฉบับ พวกเขาก็เขียนคอลัมน์ส่งได้จริง ๆ

พวกเขาทำให้ผมนึกถึงตนเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นนักข่าวและเพิ่งหัดเขียนหนังสือ ผมนึกขอบคุณหัวหน้าเก่าหลายคน ธันยวัชร์-ยังดี-สมชัย-เพิ่มพล-ณิพรรณ-โตมร-เอกชยา-เอกศาสตร์

ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมเขียน และสิ่งที่น้อง ๆ เพิ่งเขียนส่งมา จะไม่ได้แหลมคมเหมือนกับพวกนักเขียน นักคิด คอลัมนิสต์ชื่อดังในนิตยสารชั้นนำทั้งหลาย แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณอ่านกันอย่างเปิดใจให้กว้าง คุณก็จะเห็นว่ามันไม่ได้เลวร้าย โง่งม ตื้นเขิน และคุณน่าจะเห็นตรงกันกับผม

ว่า "ใคร ๆ ก็เขียนได้" ใคร ๆ ก็คิดได้และเราทุกคนควรจะมีโอกาสได้สถิตความคิดของตนเองเป็นประจำ ถึงแม้จะไม่ใช่พื้นที่บนหน้าหนังสือพิมพ์หรือหน้านิตยสาร แต่ก็อาจจะเป็นไดอารี่ส่วนตัวหรือเป็น Blog ที่เว็บไหนสักแห่งก็ได้ ขอเพียงแค่ตั้งใจเขียนให้ดี เขียนในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อ่าน

 

 

การสถิตความคิด ทำได้หลากหลายวิธี

 

อย่างที่เขียนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าเราเขียนไม่ใช่เพื่อให้ใครมาเรียกเราว่าเป็น "นักคิดนักเขียน" แต่เพื่อให้การเขียนนั้นช่วยสะท้อนให้เห็นตนเอง ตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของตนเอง

หมอวิธานบอกว่า ในการจัดเวิร์กช็อปนั้น นอกจากการแจกสมุดเปล่าให้เขียนแล้ว เขายังให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงออกในทางอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะการตระหนักรู้ตนเองและกระจำสะท้อนภาพตัวเองนั้น จริง ๆ แล้วมีมากมายหลายทาง

ดูตัวอย่างจากบรรดานักคิดที่จีเอ็ม เล่มนี้เสนอบทสัมภาษณ์ก็จะเห็นได้ว่า การสถิตความคิดนี้ทำได้หลากหลายวิธี บางคนสถิตความคิดด้วยการแสดง วาดภาพ เล่นดนตรี ถ่ายภาพ ฯลฯ อาจารย์ไชยันต์บอกว่า การเขียนเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็นพื้นฐานมากที่สุดเท่านั้นเอง

ลองนึก ๆ ดูแล้ว ผมเคยเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง สถิตความคิดของตนเองด้วยการตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าทุกวัน เพื่อมาทำกับข้าวให้ลูกได้กินอิ่ม ก่อนออกไปโรงเรียน มีผู้ชายคนหนึ่งสถิตความคิดของตนเองด้วยการตื่นเวลาเดียวกันนั้น เพื่อขนสินค้ามากมายใส่ท้ายจักรยาน ปั่นออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดเพื่อสิ่งให้กับลูกค้าทั่วเมืองที่กำลังรออยู่

พวกเขาไม่ได้มีอาชีพทำมาหากินเป็นนักเขียน และตลอดชีวิตของพวกเขาไม่เคยมีใครเรียกเขาว่า นักคิด แต่ความคิดของพวกเขาได้สถิตอยู่ในกล้ามเนื้อทุกมัด กระดูกทุกท่อน เลือดทุกหยด สายใยประสาททุกเส้น ที่อยู่ภายในตัวลูกของเขา

เมื่อมองดูลูก เขาก็ได้เห็นภาพสะท้อนของตนเองอยู่ในนั้น และแน่นอนว่า เมื่อลูกของเขาลงมือเขียน ความคิดของพวกเขาก็จะสถิตอยู่ในงานเขียนของลูกด้วย

ยังมีวิธีสถิตความคิดอีกมากมายหลากหลาย ซึ่งผมไม่สามารถแจกแจงออกมาได้หมด คุณสามารถเลือกหาวิธีเฉพาะของคุณเองก็ได้ มันขึ้นอยู่กับความสนใจ โอกาส และความสามารถพื้นฐานของแต่ละคน ซึ่งสำหรับผมนั้น ขอเลือกวิธีการเขียน เพราะผมทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็น และยังไม่มีโอกาสได้ไปทำอะไรอย่างอื่น

 

 

ปิดท้าย ...

 

บรรณาธิการจีเอ็ม บอกว่า เนื่องในโอกาสที่นิตยสารจีเอ็ม ฉบับครบรอบ 23 ปี มีธีมคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับ "นักคิด" ก็อยากให้ผมช่วยเขียน ระบุด้วยว่า ใครเป็นนักคิดบ้าง ผมคิดว่า ได้เขียนระบุไว้อย่างครบถ้วนตามคำขอนี้แล้ว เป็นเพราะคนเหล่านี้ที่ทำให้ผมสามารถสถิตความคิดเรื่อง "นักคิดนักเขียน" ไว้ด้วยการเขียนบทความชิ้นนี้

 

...............................................................................................................

 

ผมคิดว่า บทความนี้มีคำตอบหลาย ๆ อย่างอยู่ในตัว

* "การเขียน" เป็นสิ่งจำเป็นต่อ "การคิด"

* "การเขียน" ทำให้เราสามารถ "สถิตความคิด" ลงไปได้

* "การเขียน" ทำให้รู้สึกดี

* "การเขียน" ทำให้เกิด "ความตระหนักรู้" (ซึ่งประเด็นนี้น่าจะเป็นกระบวนเรียนที่ผมกำลังปฏิบัติอยู่ และคาดว่า จะเข้าประเด็นเป็นวิจัยในชั้นเรียน เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้)

* "การเขียน" ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะกลุ่ม ใคร ๆ ก็สามารถเขียนได้ คิดได้

* เราถูกพรากความสามารถด้านการคิดและเขียนโดยกระบวนการทางการศึกษา (อันนี้เจ็บปวด)

 

ลองคิดตามดูนะครับ เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่ เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล

แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่า "การเขียน" ยังประโยชน์ต่อตัวของผู้เขียนเอง เหนือสิ่งอื่นใด ดั่งเช่น ผมเขียนบันทึกอยู่เรื่อย ๆ มาหลายปี ผมมีพัฒนาการทางความคิดและการใคร่ครวญดีกว่าแต่ก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ

และมีความสุขที่ได้เขียน มีความสุขที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้

เหมือน "ร่ำสุรากับผู้รู้ใจ" ยังไงยังงั้นเลย (แต่ผมไม่ผิดศีล 5 แน่นอน)

 

บุญรักษา กัลยาณมิตรทุกท่านครับ ;)

 

ป.ล. กัลยาณมิตร หมายถึง เพื่อนผู้หวังดี ไม่หวังร้าย ;)

 

...............................................................................................................

 

ขอบคุณหนังสือดี ๆ

  

วิธาน ฐานะวุฑฒ์, น.พ.  มหัศจรรย์แห่งการเขียน : เขียนเพื่อเยียวยา เขียนเพิ่มพลังชีวิต.  กรุงเทพฯ : ศยาม, 2554.

 

หมายเลขบันทึก: 443959เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2011 23:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

การเขียนโดยไม่ได้เงินแต่ได้ความสุข(สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ)

เพราะได้ลงมือเขียน...จึงเห็นผลดังนั้นเช่นกันครับ

กัลยาณมิตร หมายถึง เพื่อนผู้หวังดี ไม่หวังร้าย ;

ไม่รู้ว่าพี่จะอยู่ในกลุ่มกัลยาณมิตร..รึเปล่า

แต่พี่ก็ใช่เวลาในการอ่าน และ เขียน ทุกวัน...พอประมาณ

การเขียนเป็นการก่อสร้างร่างรุปของความคิด

ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์ หนานวัฒน์ ;)...

ไม่รู้พี่ ครู ป.1 เป็นส่วนไหนครับ อิ อิ

ขอบคุณมากครับ ;)...

โดนใจจริงๆ ครับ ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไรมาก ความมั่นใจในการเขียนก็ด้อยไปเนื่องจากกังวลเรื่องการยอมรับ

ได้มีโอกาสไปอบรมการเขียนบล็อกโดยใช้gotoknow.org นี่แหละ ในตอนนั้นก็ได้เขียนเรื่องที่ใกล้ตัว

เป็นเรื่องการจัดการการเงินของลูกสาว การแบ่งกระเป๋าเงินซึ่งเป็นเรื่องราวที่เราภูมิใจ

และส่งผลดีต่อลูกและครอบครัวมาก บันทึกที่หนึ่งก็ผ่านไปนะ

ความรู้สึกหลากหลายนะ แต่ในนั้นมีความภูมิอยู่ด้วยครับ

จากนั้นก็เขียนอะไรที่มากระทบกับตัวเราไปเรื่อย ด้วยการที่ต้องเผยแพร่ก็ทำให้ต้องระวัง ผมก็เลือกใช้มุมมองและภาษาที่เป็นบวก ก็ทำไปเรื่อยๆ มีคนเข้ามาอ่านเมื่อดูสถิติก็ปลื้ม ต่อมามีคนเข้ามาคอมเมนต์ ตอนแรกตกใจ

ต่อมาติดใจจนต้องรอคอยว่าคนอื่นจะเห็นอย่างไรนะ ก็เขียนเรื่อยมา ที่เขียนได้ก็เพราะจริงๆ ผมชอบจดสิ่งที่ผ่านมา จดไดอารี่

นี่ก็ทำให้เราสามารถที่จะเขียนอะไรออกมาได้เรื่อยๆ ด้วยการที่เราบอกเรื่องราวที่เป็นเราออกมาแลกเปลี่ยนกัน

ในใจก็กังวลเรื่องที่นี่เค้าเป็นเวทีวิชาการ ของเราเป็นเรื่องความรู้สึก ความเห็น ไม่มีข้อมูลวิชาการรองรับ

ก็มีหลายครั้งอยากจะทำนะ แต่เมื่อได้ไปอ่านของคนอื่นแล้ว ผมอ่านไม่จบสักที ต้องบอกตามตรงเลยว่า เบื่อครับ

แต่ถ้าเป็นบันทึกที่เบาๆ นี่ผมชอบนะ ผมก็เลยเลือกเขียนบันทึกที่ผมชอบ เมื่อชอบแรงบันดาลใจมันก็มา ก็สามารถเขียนไ้ด้ไหลลื่นดี

ในประโยชน์ี่ืั้ที่คุณเขียนไว้นี้ผมได้รับครบเลยครับ ชอบมาก และก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคำำคำนี้ สถิตความคิด เป็นคำที่เยี่ยมมาก

สุดท้าย ขอบคุณบันทึกดีๆ ครับ

สวัสดีครับ ท่าน เพชร พรหมสูตร์ ;)...

มิต้องกังวลใจใด ๆ ในเรื่องของการเขียนครับ

เพียงแค่ทุกอย่างคือ ความเป็นจริง ไม่โกหก หลอกลวง

พอแล้วครับ ... เพราะไม่ว่าเราจะเขียนเรื่องราวอะไร

เรื่องใกล้ตัวเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดที่จะถ่ายทอดออกมา

"ใคร ๆ ก็เขียนได้" จึงเป็นความจริงครับ

การเขียน ทำให้เกิดการใคร่ครวญและเป็นประโยชน์ต่อการจัดระบบความคิดของตัวเราเองอย่างแน่นอนครับ

ส่งกำลังใจไปให้กับ "การเขียน" เรื่องดี ๆ ทุก ๆ วันนะครับ ;)...

มุข..แห่งความรู้ของอาจารย์ มีรอบตัวเลย นะครับ

มาเยี่ยมอาจารย์ ด้วยความระลึกถึง นะครับ

ขอบคุณมากครับ คุณ แสงแห่งความดี ;)...

เอาแมวเหมียวมาฝากด้วย อิ อิ

แบ่งปันความรู้กันครับ

คุณ แสงแห่งความดี สบายดีนะ ;)...

วันหยุดนี้ ผมจะไปซื้อหนังสือเล่มนี้

และบอกตัวเองว่า การเขียน ต้องมีพื้นฐานที่ดีจากการอ่านที่ดีด้วย

และถามตัวเองว่า

วันนี้..เราอ่านหนังสือหรือยัง

จริงๆ แล้ว นอกเหนือจากอ่านแล้ว การเขียนก็น่าจะเป็นวาระแห่งชาตินะค่ะ เพราะว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ และยังช่วยจัดเก็บความรู้ได้ด้วยค่ะ 

^__^

ขอบคุณมากครับ ท่าน ผอ.ชยันต์ เพชรศรีจันทร์ ;)...

"อ่านเยอะ" จะได้เปรียบ "อ่านน้อย" ครับ

เพราะสายตาและสมองของเราจะผ่านคำเขียน คำอ่านมาเป็นหมื่นตัวอักษร

รวมถึงกระบวนการคิดของนักเขียนที่เราชื่นชอบ

"การเขียน" เป็นวิทยานิพนธ์ หรือ งานวิจัย หรือเปล่า น้อง มะปรางเปรี้ยว ;)...

อย่างน้อง มะปรางเปรี้ยว ไม่ต้องอ่านหรอก เพราะเดี๋ยวหนังสือก็เดินทางไปถึงแล้ว อิ อิ

ขอบคุณครับ ;)

ชอบอ่านมากว่าเขียนค่ะ รู้สึกว่าการเขียนต้องเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบก่อนจึงจะเขียนได้

เวลาเขาทำเวิร์กช็อปกันนะครับ คุณ รัชนีวรรณ ;)...

การตั้งหัวข้อ "การเขียน" มันเป็นความคิดคำนึงในเรื่องใกล้ ๆ ตัวครับ

ไม่ยากเลยที่จะเขียน และไม่ต้องกังวลว่าจะเขียนออกมาไม่ดี

เพราะไม่มีผิด หรือ ไม่มีถูก ... การเขียนทำให้ตนเองมีพัฒนาการมากขึ้นครับ

"การอ่าน" ผมก็อ่านเยอะ แต่ "การเขียน" ทำให้เรามีที่ "สถิตความคิด" ของเราเองไงครับ

ขอบคุณครับ ;) 

"การเขียน" ทำให้เกิด "ความตระหนักรู้"

  • แม้ไม่ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดพอที่จะขอร่ำสุราด้วยกัน แต่อย่างน้อยการเขียนก็ทำให้เข้าใกล้ตัวตนของผู้เขียนค่ะ
  • เป็นบันทึกที่แสดงถึงมหัศจรรย์ของผู้เขียนเช่นเดียวกับมหัศจรรย์แห่งการเขียนด้วยค่ะ
  • ขอให้มีพลัง และกำลังใจในการทำงานทั้งวันนะคะ

ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์นพลักษณ์ ๙ Sila Phu-Chaya ;)...

"เข้าใกล้ตัวตน" ต้องใช้ "ใจ" ถึงจะเข้ามาได้ครับ

หากเพียงผิวเผิน อาจจะเข้าไม่ถึง และไม่อยากเข้าถึงด้วยครับ

พลังบริสุทธิ์มาจาก "กัลยาณมิตร" ทำให้มีพลังมากขึ้นแล้วครับ เย้ !

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท