อ่านบันทึกคนอื่น คุณหมอพิเชษฐ เรื่องนี้ แล้วแว้บคิดถึงเรื่องการนอนของที่บ้าน
สืบเนื่องมาจากการออกแบบบ้าน เมื่อสร้างบ้าน
๑.เราเน้นสวน พื้นที่ที่เป็นสวนต้นไม้จึงครึ่งหนึ่งของที่ดินเลย หนึ่งร้อยตารางวาได้
๒.เน้นห้องน้ำ ห้องน้ำจึงใหญ่ กว้างเป็นหนึ่งในสามของบ้าน
๓.คิดถึงห้องนั่งเล่น ห้องอ่านหนังสือ ที่ดูทีวี ภาษาอังกฤษเรียก dining room ถัดมา
ส่วนนี้ไม่เป็นห้อง เป็นกึ่งห้องกึ่งโถง กว้างใหญ่ รองลงมาจากห้องน้ำ
๔.ห้องทำงานของคนเป็นแม่
ห้องเราเองนั่นแหละค่ะ เพราะตอนก่อร่างสร้างบ้านนั้น เรายังมีงานที่ขนจากที่ทำงานกลับมาบ้านเสมอ ๆ "live to work"
ตอนนี้เปลี่ยนความคิดเป็น "work to live"
ห้องนี้ไม่ใหญ่ค่ะ แต่พิเศษสำหรับเราคือ ต้องมีหน้าต่างโดยรอบ แสงธรรมชาติเข้าถึงได้ดี ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า อากาศถ่ายเทได้อย่างดี และต้องอยู่ใต้ร่มไม้ของต้นไม้แสนรัก คือ ต้นปีบ
เพราะเราเป็นคนดูแลการปลูกไงคะ ทุกสิ่งจึงเป็นไปตามประสงค์
ไม่มีเตียงเพราะวางแผนไว้นานแล้วว่านอนกับพื้น ด้วยที่นอนแบบญี่ปุ่น
๕. ห้องนอนคุณพ่อ เป็นห้องแฝด ขนาดเท่า ๆ กับห้องของแม่
แต่ความที่เขามีเครื่องเคราเกี่ยวกับชีวิตเยอะ เช่น ทีวี คอมพ์พิวเตอร์ ตู้เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าผู้หญิง โอเคค่ะเป็นเพราะใช้กันสองคนกับลูกชายค่ะ
๖. ห้องครัว เล็กนิดเดียว เป็นครัวแบบแพนทรี เพราะชีวิตคนสมัยใหม่ ทำหรือปรุงกับข้าวไม่เป็น ฮา
ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกค่ะ เรามีครัว มีเตาแก๊ส อยู่นอกเรือนต่างหากสำหรับปรุงอาหารค่ะ
ส่วนนั่งรับประทานอาหาร ก็กว้างแค่พอโต๊ะทานข้าว เก้าอี้ ตู้เย็น และตู้ใส่จานชามข้าวของ
เอ...
หายไปห้องหนึ่ง อืม ไม่หาย ห้องลูกค่ะ แม่ตั้งใจยึดให้ลูกอยู่กับแม่เวลาทำการบ้าน
ให้นอนกับพ่อเวลา นอนกลางคืน เตียงนอนลูกกับเตียงนอนพ่อจึงอยู่ห้องเดียวกัน เป็นเตียงเดี่ยวต่างระดับ
ลูกจึงไม่มีห้องไปโดยปริยาย
*ปัจจุบันหลังจากเราสามคนพร้อมใจกันนอนกับพื้น
เรามีที่นอน ท่านอน และการนอนที่ประหยัดพลังงาน ก่อเกิดความสามัคคี อบอุ่นกันอย่างไร
ยกยอดเล่าต่อตอนหน้าค่ะ
เอ ชวนให้จินตนาการ จะติดตาม ว่าท่านอน ลดโลกร้อน ในตอนต่อไป อ่านแล้ว มีความสุข ค่ะพี่หมอเล็ก
เอาภาพสวยมาฝาก
สวัสดีค่ะ
นานแล้วไม่ไก้มาทักทายกับคุณหมอ วันนี้มีโอกาสจึงแวะมาค่ะ
บางเวลาพี่คิมเคยทดลองนอนกับพื้น มีผ้าปูรองนอน รู้สึกดีค่ะ ว่านอนสบายและเป็นการนอนจริง ๆกว่านอนบนที่นอน
ระลึกถึงเสมอนะคะ