การบันทึกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายคุณค่างานประจำ: R2R พัฒนาระบบบริการ (JUPITER 6-7)
วันที่ 21 กรกฎาคม 2554 เวลา 13.00-16.30 น.
เริ่ม 13.00-16.30 น.
ผู้ดำเนินการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศ. นพ. สมบูรณ์ เทียนทอง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวทักทายและกล่าวถึงกิจกรรมในช่วงบ่ายนี้รวมทั้งอธิบายการคัดเลือกกลุ่มที่มานำเสนอในช่วงแรก 4 โรงพยาบาล โดยคัดเลือกลักษณะโรงพยาบาลที่มีความแตกต่างกันในแง่ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กและเล็กสุด
ผศ (พิเศษ) นพ. ไพโรจน์ บุณลักษณ์ศิริ จากโรงพยาบาลหาดใหญ่ ประธานเครือข่าย R2R ภาคใต้ แนะนำผู้นำเสนอในวันนี้ ประกอบด้วย
คุณใบศรี อุทธสิงห์ ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคเข้มแข็งเครือข่ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางขี้นก โดยใบศรี อุทธสิงห์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ
เล่าถึง สภาพปัญหาโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อเป็นภัยคุกคามภาวะสุขภาพของคนไทยมาช้านานซึ่งสถิติ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางขี้นก พบว่า ปี 2551 มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก จำนวน 7 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 282.47 ต่อแสนประชากร โรคเบาหวาน จำนวน 63 คน อัตราป่วย 2,452.32 ต่อแสนประชากร โรคความดันโลหิตสูง จำนวน 42 คน อัตราป่วย 1,634.88 ต่อแสนประชากร ซึ่งการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคในอดีต เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เป็นหน้าของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขเท่านั้น ในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคควรมีการดำเนินงานในเชิงรุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางขี้นก ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ร่วมกับผู้นำชุมชน คณะกรรมการหมู่บ้าน อสม., อบต. ร่วมกันระดมความคิดเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันสร้างเครือข่ายในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรค การทำงานที่ผ่านมาไม่บรรลุวัตถุประสงค์ใช้งบประมาณมากยังเกิดโรคติดต่อและไม่ติดต่อมาตลอด การประสานงานกับทุกภาคส่วนมีปัญหาอุปสรรคมาก การทำงานไม่ราบรื่น ค้นหาศักยภาพทุนทางสังคมผังเครือญาติผู้นำประวัติผู้นำและค้นพบสมุนไพรพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น
การดำเนินการวิจัย มีการสำรวจลูกน้ำยุงลายทุกสัปดาห์โดยอสม.ไขว้หมู่บ้านไขว้าตำบล การใช้วิธีการทางกายภาพและชีวภาพทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายใช้ วิธี 4 ป. ปรับ ปิด เปลี่ยน ปล่อย ควบคู่กับการใช้สมุนไพรพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น การสร้างเครือข่ายในชุมชน นำไปสู่การทำบันทึกตกลงความร่วมมือการสร้างแรงจูงใจการประกวด ศึกษาดูงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคณะกรรมการศูนย์ควบคุมโรค การประกวดเพื่อกระตุ้นและสร้างขวัญกำลังใจ โดยนำแกนนำท้องถิ่นมาเป็นส่วนร่วมในการดำเนินการ คือ ผู้นำท้องที่/ผู้นำท้องถิ่น อสม. ครู นักเรียน พระภิกษุ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน เกษตรพัฒนากร ครู กศน. สายตรวจประจำตำบล
ผลการวิจัย พบว่า ค่าสำรวจลูกน้ำยุงลาย (HI,CI) อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่เกิดไข้เลือดออก 3 ปีติดต่อกัน มีเครือข่าย
ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคและภัยสุขภาพเข้มแข็งประจำหมู่บ้าน เกิดกฎกติกาหมู่บ้าน การทำงานโดยมีทุกภาคส่วนเป็นเครือข่าย ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับรู้ ร่วมแก้ไข ทำให้การประสานงานสะดวกราบรื่น มีความรักสามัคคี มีประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลและยั่งยืนตลอดไป และมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว ตำบลละ 5 คน หมู่บ้านละ 5 คน
ความภาคภูมิใจและความสำเร็จ ไม่มีโรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นในชุมชนจากปี พ.ศ.2551 – 2554 ได้รับรางวัลชนะเลิศหมู่บ้าน / โรงเรียนปลอดลูกน้ำยุงลายของอำเภอเขื่องใน ได้รับรางวัลชนะเลิศมหกรรมสุขภาพจังหวัดอุบลราชธานี เรื่อง ศูนย์ควบคุมโรคประจำหมู่บ้าน ได้รับรางวัลชนะเลิศหมู่บ้านจัดการสุขภาพ ได้รับรางวัลชนะเลิศหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง มีเครือข่ายป้องกันควบคุมโรคที่เข้มแข็งและยังยืน
เรื่องที่ 2 พญ. พจี เจาฑะเกษตริน นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบปริมาณรังสีสะสมที่บุคคลในครอบครัวได้รับจากการรักษาผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษด้วยไอโอดีน-131 ที่มีความแรงรังสีต่ำและสูง
เริ่มต้นกล่าวถึง การรักษาผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษด้วยไอโอดีน-131 (ไอโอดีนรังสี) เป็นการรักษาที่มีผู้ป่วยมากเป็นอันดับหนึ่งของการรักษาทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ การรักษาดังกล่าวเป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (ความแรงรังสีของไอโอดีน-131 ต่ำกว่า 30 มิลลิคูรีอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมให้ผู้ป่วยรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกตามข้อกำหนดของ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ) บุคคลในครอบครัว และ/หรือกลุ่มเสี่ยงในครอบครัวเช่นเด็ก มีโอกาสได้รับรังสีที่แผ่จากตัวผู้ป่วย ขีดจำกัดของปริมาณรังสีสะสมกำหนดโดยคณะกรรมาธิการป้องกันอันตรายจากรังสีระหว่างประเทศ ปริมาณรังสีสะสมบุคคลทั่วไป และเด็ก 1 มิลลิซีเวิร์ท/ปี ผู้ดูแลผู้ป่วยใกล้ชิด 5 มิลลิซีเวิร์ท/ครั้งของการรักษา โดยมีขั้นตอนการรักษา คือ แพทย์ตรวจและสั่งยาไอโอดีนรังสีแก่ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษผู้ป่วยได้รับคำแนะนำการปฏิบัติตัวการป้องกันอันตรายจากรังสี ผู้ป่วยดื่มยาไอโอดีนรังสีแล้วกลับบ้าน ทำให้บุคคลในครอบครัว มีโอกาสได้รับรังสีที่แผ่จากตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยในประเทศไทย มีสภาพความเป็นอยู่ในครอบครัวแบบไทยได้ปฏิบัติตามคำแนะนำครบถ้วนหรือไม่ และมีผลทำให้บุคคลในครอบครัวได้รับรังสีปริมาณเท่าใด การรักษาแต่เดิมเป็นแบบ ความแรงรังสีต่ำ (ความแรงรังสีต่อน้ำหนักต่อมไทรอยด์ 100 ไมโครคูรี/กรัม) แพทย์ได้พิจารณาถึงการรักษาแบบ ความแรงรังสีสูง เพื่อต้องการผลการรักษาที่ดีกว่าและค่าใช้จ่ายน้อยกว่า (ความแรงรังสีต่อน้ำหนักต่อมไทรอยด์ 150 ไมโครคูรี/กรัม)
วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อวัดและเปรียบเทียบปริมาณรังสีสะสมที่บุคคลในครอบครัวได้รับจากการรักษาผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษด้วยไอโอดีน-131 ที่มีความแรงรังสีต่ำและสูง และเปรียบเทียบปริมาณรังสีที่บุคคลในครอบครัวได้รับจากการรักษาผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษทั้งสองแบบกับขีดจำกัดตามมาตรฐานสากล (ที่กำหนดโดยคณะกรรมาธิการป้องกันอันตรายจากรังสีระหว่างประเทศ
ผลการวิจัย ค่ามัธยฐานของปริมาณรังสีสะสมในกลุ่ม ก. เท่ากับ 0.32 มิลลิซีเวิร์ด และกลุ่ม ข. เท่ากับ 0.39 มิลลิซีเวิร์ท ซึ่งไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.781) บุคคลในครอบครัวร้อยละ 96.4 ในกลุ่ม ก. และร้อยละ 93.4 ในกลุ่ม ข. ได้รับรังสีต่ำกว่า 1 มิลลิซีเวิร์ท ซึ่งเป็นขีดจำกัดของการได้รับรังสีสำหรับบุคคลทั่วไปและเด็ก ปริมาณรังสีสะสมของบุคคลในครอบครัวกลุ่มย่อย กลุ่ม (2) ญาติในบ้าน และ (3) เด็ก ได้รับปริมาณรังสีไม่เกิน 1 มิลลิซีเวิร์ท สำหรับกลุ่มย่อย (1) คือผู้ดูแลใกล้ชิด มีเพียง 2 ราย ใน 22 ราย ของกลุ่ม ก. คิดเป็นร้อยละ 9.1 และ 2 ราย ใน 24 ราย ของกลุ่ม ข. คิดเป็นร้อยละ 8.3 ที่ได้รับปริมาณรังสีเกิน 1 มิลลิซีเวิร์ท แต่ไม่เกินค่าขีดจำกัดสำหรับผู้ให้การดูแลผู้ป่วยคือ 5 มิลลิซีเวิร์ท และปริมาณรังสีที่บุคคลในครอบครัวได้รับไม่สัมพันธ์กับอัตราการแผ่รังสีจากตัวผู้ป่วย (r = 0.236)
สรุป บุคคลในครอบครัวได้รับปริมาณรังสีสะสมจากผู้ป่วยที่รักษาด้วยไอโอดีน-131 ทั้งแบบความแรงรังสีต่ำและสูง ไม่แตกต่างกัน ปริมาณรังสีสะสมดังกล่าวไม่เกินขีดจำกัดตามมาตรฐานสากล ปริมาณรังสีที่บุคคลในครอบครัวได้รับส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดผู้ป่วย และคำแนะนำและการปฏิบัติตัวในการป้องกันอันตรายจากรังสีมีความเหมาะสม
การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ การศึกษาที่พบว่าบุคคลในครอบครัวของผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีสะสมไม่เกินขีดจำกัดตามมาตรฐานสากล จะทำให้ผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัวลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากรังสี มีโอกาสทบทวนและพบว่าคำแนะนำในการปฏิบัติตัวในการป้องกันอันตรายจากรังสีมีความเหมาะสม ผู้ป่วยและญาติปฏิบัติตนได้ถูกต้องตามคำแนะนำบุคคลในครอบครัวของผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มได้รับปริมาณรังสีสะสมไม่แตกต่างกันและไม่เกินขีดจำกัดตามมาตรฐานสากล ทำให้แพทย์มั่นใจได้ว่าถ้าเลือกการรักษาแบบความแรงรังสีสูงจะไม่ทำให้บุคคลในครอบครัวเหล่านี้ได้รับรังสีสูงเกินขีดจำกัด
บทเรียนที่ได้รับ สามารถนำงานประจำมาทำวิจัยเพื่อพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ความตั้งใจของคณะผู้วิจัย การสนับสนุน คำแนะนำและทุนทำวิจัยจากโครงการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ความร่วมมือจาก สาขาวิชารังสีรักษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีในการอนุเคราะห์เครื่องมืออ่านค่านับวัดรังสี ความร่วมมือของผู้ป่วยและญาติ ความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่สาขาวิชาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ทุกท่าน
รศ นพ สมบูรณ์ เทียนทอง ดำเนินอภิปรายว่า
ความสำเร็จจากการทำวิจัย
พญ พจีซึ่งเป็นตัวแทนนักวิจัยระดับมหาวิทยาลัย ในภาควิชาทำอย่างไรจึงมีงานวิจัย R2R ได้อย่างต่อเนื่องและได้รับรางวัลเกือบทุกปี และในปีนี้ได้ 3 เรื่อง
พญ พจี กล่าวว่า ภาควิชามีการทำวิจัยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อาจารย์นายแพทย์ร่มไทรยังทำงานที่ภาควิชาฯ ลูกศิษย์จึงได้รับมรดกจากอาจารย์ เพราะงานรังสีรักษา ทุกคนทั้งคนทำงานและคนที่มาใช้บริการรู้สีกว่าเป็นงานที่น่ากลัว เราจึงทำวิจัยเพื่อพิสูจน์ว่า มาตรฐานในการทำงานมีความปลอดภัย
สำหรับคุณใบศรี ทำงานในโรงพยาบาลขนาดเล็ก คือ รพสต ทำวิจัย R2R ได้อย่างไร
คุณใบศรีกล่าวว่า การที่ได้รับรางวัลในวันนี้เนื่องจากเกิดแรงบันดาลใจในปีที่แล้วมานั่งฟังและดูเพื่อนที่ได้รางวัล และจำได้ว่า นพ โกมาตรเป็นวิทยากรและบอกว่า การทำวิจัยเรื่องแรกเป็นเรื่องน่าอาย แต่เราทำวิจัยเรื่องแรกก็ได้รางวัลเลย ถือเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ
การนำผลการวิจัยไปใช้ การประยุกต์ใช้ผลงานวิจัย
คุณใบศรี บริบทของ รพสต สามารถนำไปใช้ได้ทุกแห่ง เพราะองค์กรมีองค์ประกอบเหมือนกัน
พญ พจี กล่าวว่า การใช้รังสีรักษาหรือการกินสารกัมมันตภาพรังสีส่วนใหญ่จะมีเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ๆ อาจเป้นเรื่องยุ่งยากที่จะไปปรับใช้
คุณค่าของงานวิจัยและความสำเร็จและความสุขจากการทำ R2R
นพ ไพโรจน์ ถามว่า การทำงานทุกวันนี้ยุ่งยากอยู่แล้ว อยากถามว่าทุกท่านมีความสุขจากการทำวิจัยหรือไม่
พญ พจี กล่าวว่า ตอนแรกก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะเครื่องวัดรังสี ต้องไปยืมมาใช้ ผู้มาช่วยทำวิจัยก็งานยุ่งไม่มีเวลามาช่วย
คุณใบศรี งานนี้สำเร็จได้จากการที่ได้ทำงานประจำแล้วนำมาเขียนให้เป็นงานวิจัย โดยมีทีมพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นทีมสาธารณสุขมาช่วยเขียน นอกจากนี้เขตชุมชนที่รับผิดชอบเป็นชุมชนที่เรียบง่าย ประสานงานง่าย ทำผังเครือญาติ สร้างความคุ้นเคยในชุมชนก่อน และจากตัวผู้วิจัยเองก็ทำงานมานานมีประสบการณ์ ผู้นำชุมชนรู้จักกันดีและเป็นรุ่นเดียวกัน ทำให้การเข้าถึงได้ง่ายขึ้น Key success คือ ความไว้วางใจ
Session 2 กลุ่มที่ 1
ผู้เข้าร่วมนำเสนอ มีผลงานวิจัย ประกอบด้วย
ศ นพ สมบูรณ ผู้ดำเนินการกล่าวแนะนำผู้นำเสนอและให้แต่ละคนนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันทีละคน
คุณชยุต ใหม่เขียว นำเสนอผลงานวิจัย
เรื่อง ผลการเจือจาง Dexamethasone ในการให้ยาทางหลอดเลือดดำต่ออาการคันตามร่างกายในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
ที่มาของปัญหา ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัดได้รับ Dexamethasone เพื่อป้องกันภาวะ Hypersensitivity Reaction และ N/V เกิดอาการคันตามร่างกายภายใน 20 – 40 วินาที และเกิดอาการนาน 30 – 45 วินาที ก่อให้เกิดความไม่สุขสบายต่อผู้ป่วย รู้สึกหวาดกลัวและท้อแท้ต่อผลข้างเคียงจากการรักษา คำถามการวิจัย การเจือจาง Dexamethasone ก่อนให้ทางหลอดเลือดดำจะลดการเกิดอาการคันตามร่างกายได้หรือไม่ ลดได้เท่าไร
วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อ ศึกษา1) อุบัติการณ์การเกิดอาการคันตามร่างกายในผู้ป่วยที่ได้รับ Dexamethasone เจือ
จางในขนาดต่างๆ กันก่อนให้ทางหลอดเลือดดำ 2) การให้ Dexamethasone ที่ความเจือจางเท่าใดที่มีโอกาสเกิดอาการคันตามร่างกายน้อยที่สุด และ 3) ระยะเวลาที่เริ่มเกิดอาการคันตามร่างกายในผู้ป่วยที่ได้รับ Dexamethasone เจือจางในขนาดต่างๆ กันก่อนให้ทางหลอดเลือดดำ
ผลการวิจัย ผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่มีการเจือจาง Dexamethasone และในกลุ่มที่ เจือจางในน้ำเกลือนอร์มัลจำนวน 10
มิลลิลิตรผู้ป่วยเกิดอาการคันร้อยละ 70.97 เท่ากันทั้ง 2 กลุ่ม ผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับเจือจาง Dexamethasone ในน้ำเกลือนอร์มัล 50 มิลลิลิตร ผู้ป่วยทุกคนไม่มีอาการคัน
การนำผลวิจัยไปใช้ ปรับแนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยา Dexamethasone ก่อนการให้เคมีบำบัด โดยการเจือจางในน้ำเกลือนอร์มัล 50 มิลลิลิตรหยดเข้าทางหลอดเลือดดำนาน 10 นาที เพื่อป้องกันการเกิดอาการคันตามร่างกาย
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ การมุ่งมั่นพัฒนางานโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง มุ่งสู่การพยาบาลที่เป็นเลิศ
ศ นพ สมบูรณ์ เทียนทอง กล่าวชื่นชมว่า การทำวิจัยชิ้นนี้มีจุดเด่นที่สามารถนำเอาเรื่องความทกข์ทรมานของผ้ป่วยมาใช้ในการแก้ปัญหา แต่ถ้าอธิบายให้เห็นปัญหาเชิงคุณภาพว่าอาการคันแล้วทุกข์ทรมานอย่างไรจะทำให้เห้นประเด็นได้ชัดยิ่งขึ้น
คุณชยุต ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การนำ Dexa มาผสมกับ Nss 50 CC จะต้องเสียค่าใช่จ่ายเพิ่มขึ้น เราจึงนำไปปรึกษากับเภสัชกร และทีมว่า การเตรียม Pre-med เราควรผสมทั้ง dexa+Onsia เพราะยาทั้งสองชนิดไม่มี Drug interaction กันและเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
อุบล จ๋วงพานิช Note taker
28/07/54
มาเชียร์งานวิจัยดีๆ ครับผม
ขอบคุณค่ะ อาจารย์โสภณ ที่ให้กำลังใจคนหน้างาน
สรุปบทเรียนของการทำ R2R ประสบผลสำเร็จ (Key success)
อุบล จ๋วงพานิช