เรื่องท้าวกำพร้าผีน้อยเป็นชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่จุติลงมาเกิดที่เมืองอินทปัตถ์ เป็นกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเล็ก อาศัยการขอทานเลี้ยงชีพ ชาวบ้านบางคนก็เมตตาให้ทาน บางคนก็รังเกียจหาทางกลั่นแกล้งเสมอ
วันหนึ่งตากวานบ้าน(คำเรียกผู้ใหญ่บ้าน) คิดกำจัดท้าวกำพร้า จึงแนะนำให้ไปทำนาที่ทุ่งนาชายป่าซึ่งไม่มีใครทำกิน เพราะเป็นถิ่นที่ผีดุร้ายอาศัยอยู่ (ความเชื่อ) ท้าวกำพร้าขยันทำนา ขุดดิน ถางป่าอย่างไม่ย่อท้อ ทำให้ภูตผีทั้งหลาย รวมทั้งผีย่าง่ามซึ่งอาศัยอยู่ปลายนา คิดจะจับท้าวกำพร้ากินเป็นอาหาร แต่เทวดาห้ามไว้ และเมื่อผีเหล่านั้นรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดเป็นท้าวกำพร้าจึงถวายตัวเป็นทาสรับใช้ และได้ช่วยท้าวกำพร้าทำไร่ทำนา ปลูกพืชผักผลไม้
ขณะที่รอการเก็บเกี่ยวข้าว ท้าวกำพร้าได้ออกขอทานตามปกติตากวานบ้านประหลาดใจที่ท้าวกำพร้าไม่ตาย จึงคิดกลั่นแกล้งอีก โดยนำข้าวบ้วนปากมาบริจาคทานเป็นจำนวนมาก ท้าวกำพร้าจึงนำไปนึ่ง แต่ปรากฏว่าข้าวบ้วนปากของตากวานบ้านส่งกลิ่นหอมอบอวล ทำให้ผีทั้งหลายได้กลิ่นพากันมาขอแบ่งกิน ผลการกินข้าวบ้วนปาก ทำให้ท้าวกำพร้ามองเห็นภูตผีทั้งหลายได้
วันหนึ่งท้าวกำพร้านำไซไปดักปลา แต่ไม่มีปลาติดเพราะผีน้อยขโมยกินหมด ท้าวกำพร้าจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผีย่าง่าม ผีย่าง่ามจึงเอาไหมของตน(ขนเพชร)ให้ท้าวกำพร้านำไปทำบ่วงดักไว้ ในที่สุดผีน้อยก็ติดบ่วง ได้ร้องขอชีวิตต่อท้าวกำพร้า ท้าวกำพร้าจึงได้ปล่อยไป(คุณธรรม) ต่อมาก็มีสัตว์อื่น ๆ มาติดบ่วงสายไหมที่ท้าวกำพร้าดักไว้อีก เช่น เสือ อีเห็น ช้างน้ำและนาค ซึ่งสัตว์ทุกชนิดร้องขอชีวิตและยอมเป็นทาสรับใช้ท้าวกำพร้า ส่วนพญาช้างน้ำ ได้มอบงาทั้งสองข้างและแก้วมณีให้แก่ท้าวกำพร้า ซึ่งในงาช้างนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ นางสีดาอาศัยอยู่ นางได้ออกมาทำอาหารไว้ให้ทุกครั้งที่ท้าวกำพร้าไม่อยู่บ้าน จนท้าวกำพร้าเกิดความสงสัยจึงแอบดูและรู้ความจริง ท้าวกำพร้าได้ทุบงาช้างนั้นเสีย เพื่อไม่ให้นางเข้าไปอยู่ในงาช้างนั้นอีก และทั้งสองได้แต่งงานกัน
ท้าวกำพร้าไม่ได้ไปขอทานในหมู่บ้านเป็นเวลาหลายวัน ชาวบ้านจึงเกิดความสงสัยพากันไปแอบดูที่กระท่อม เมื่อได้เห็นนางสีดาซึ่งมีรูปโฉมงดงาม ต่างพากันตกตะลึงและโจษขานกันไป จนทราบไปถึงพระยาพิมพ์ทองเจ้าเมืองอินทปัตถ์ ผู้มีใจพาล(ผิดศีลธรรม)จึงคิดอยากได้นางสีดาเป็นมเหสี ได้ท้าพนัน(ผิดศีลธรรม)ท้าวกำพร้า แข่งขันหลายอย่าง โดยมีเดิมพันว่า ถ้าท้าวกำพร้าแพ้จะยึดนางสีดา แต่ถ้าท้าวอินทปัตถ์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง เมื่อแข่งขันชนไก่ ชนควาย และชนช้างท้าวกำพร้าเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากนางสีดาภรรยาของท้าวกำพร้าที่ใช้แก้วมณีเรียกสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งยอมเป็นทาสท้าวกำพร้ามาให้ความช่วยเหลือ เมื่อชนไก่ ควาย และช้างของเจ้าเมืองตาย พระองค์ได้บังคับ(ผิดศีลธรรม)ให้ท้าวกำพร้ากินสัตว์เหล่านั้นเสียให้หมด พญาฮุ่ง(รุ้ง) หรือนาค แปลงตัวเป็นท้าวกำพร้ามากินสัตว์ทั้งสามที่ตายไปให้หมด ทำให้เจ้าเมืองโกรธแค้นท้าวกำพร้ายิ่งขึ้น จึงได้ท้าแข่งเรือกับท้าวกำพร้า พญานาคได้แปลงกายมาเป็นเรือ ช่วยเหลือท้าวกำพร้าอีก แล้วฟาดน้ำถูกเรือของเจ้าเมืองล่ม ในที่สุดเจ้าเมืองผู้ไร้สัจจะก็จมน้ำตาย (กฎแห่งกรรม) เจ้าเมืองได้ไปเกิดเป็นผีแถน แต่มีใจเสน่หานางสีดา และเจ็บแค้นที่ไม่สามารถเอาชนะท้าวกำพร้าได้ จึงวางแผนร่วมกับบ่างลั่วตัวหนึ่งให้ไปร้องเรียกเอาวิญญาณ(ขวัญ)นางสีดา เมื่อขวัญออกจากร่างนางสีดาก็สิ้นชีวิต ผีน้อยแนะนำไม่ให้เผาร่างของนางและอาสาจะพาวิญญาณของนางสีดาคืนมาให้ได้ จึงไปพบพญาแถนแล้วซ่อนข้องไปด้วย
ต่อมาวิญญาณของนางสีดาได้ไปอยู่กับพญาแถน ทำให้พญาแถนดีใจมากให้รางวัลแก่บ่างลั่ว และได้เลี้ยงสุรา(ผิดศีลธรรม) จนบ่างลั่วเมาไม่ได้สติ ผีน้อยจึงอาสาพาบ่างลั่วไปส่งถึงบ้าน(ตอบแทนบุญคุญ) ระหว่างทางผีน้อยได้หลอกให้บ่างลั่วเข้าไปนอนในข้อง บ่างลั่วรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงทำตามผีน้อยรีบปิดผาข้องแล้วนำมาให้ท้าวกำพร้าผีน้อยได้บังคับให้บ่างลั่วเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับมา เมื่อนางสีดาได้ฟื้นคืนดังเดิมแล้ว ผีน้อยจึงหลอกให้บ่างลั่วแลบลิ้นที่เคยใช้เอาวิญญาณคนมาเป็นจำนวนมาก(ความชั่ว) แล้วตัดลิ้นบ่างลั่วเสีย เพราะเกรงว่ามันจะร้องเรียกเอาวิญญาณคนไปอีก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บ่างลั่วจึงร้องได้ไม่ชัดเจน
เมื่อเจ้าเมืองอินทปัตถ์สิ้นชีพไปแล้ว ชาวเมืองจึงเชิญท้าวกำพร้าและภรรยาปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา ทั้งนี้เพราะความดีของท้าวกำพร้าและภรรยาจึงปกครองบ้านเมือง โดยประกอบด้วยคุณธรรมสืบต่อมาอย่างเป็นสุข
มาอ่านนิทาน ค่ะ
ไว้เล่าให้ลูกฟัง อ้อ แอ๊ดบล็อกดีกว่า ;p
คือมาม่วนแท้น้อ
ขอบคุณครับครูครูอ้อย แซ่เฮ ที่มามอบดอกไม้แสนงามให้ ขอให้บุญรักษานะครับ
ขอบคุณครับภูสุภา นิทานโบราณล้วนกลั่นกรองจากปราชญ์มาแล้ว นำไปใช้ได้เลยครับ
คุณครูออต หายหน้าหายตาไปนาน ครูศึกษารอยแต้ม แต่ผมเดินทางในรอยลาน ก็เลยมีความสัมพันธ์เนื้อหากันไม่น้อย รออ่านงานครูออตอยู่นะครับ
ปล. อาจารย์ที่ราชภัฏอุบลฯเข้าไปอ่านบล็อกของครูออต เค้าฝากบอกให้เขียนให้อ่านบ่อย ๆ ครับ
คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้นฮ่มสัปทน อย่าลืมเฮียมคนจนผู้ขี่ควายคอนกล้า
ม่วนหลายเด้
ขอบพระคุณครับคุณเปลวเทียน ที่เข้ามาเยี่ยมยามอ่านนิทานจากผู้มีความรู้น้อยนำฮอยครูบา
ซือวาแนวความเว้าของคนมันเกินง่าย
ได้เทิงหลายแลขว้ามความเว้าบ่อยู่ความ
เค้าฮักเขากะย้องเขาซังเขากะด่า
คือดังบักเข่าเหม่าหมาเฒ่าเห่าแต่เขา
คันเฮาเฮ้ดดีแล้วเขาซังกะตามซาง
คันเฮาเฮ้ดแม่นแล้วเขาย้องกะซางเขา
เขาสิพากันท้วงทั้งเมืองบ่มีเงยง
เขาสิติทั้งค่ายขายหน้ากะบ่อาย
อาจารย์ครับ
1-3 กันยายน 2552
ถ้าว่าง มาเรียน เล่น อ่านไทน้อยที่ฝนังสิมวัดศรีมหาโพธิ์กันครับ
ครูพิลคะขอยืมไปสื่อสอนนักเรียนหน่อยนะคะ
สวัสดีค่ะอาจารย์ พอดีได้มีโอกาสสอนวรรรกรรมพื้นบ้านนักเรียน
เลยได้สืบค้นหานิทานไปเล่าให้เด็กฟัง จึงได้รับข้อมูลความรู้ของอาจารย์
นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ขอบขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้นะคะ
....อ่านอยู่ต้องนานนึกว่าอาจารย์ที่ไหน มองรูปอาจารย์ก็ดูคุ้น ๆ....