สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม หรือ สคส. ทำเรื่องของการเปิดบ้าน KM เพราะมุ่งหวังว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนรู้เรื่อง KM แบบเนียนอยู่กับงาน คือ การได้ไปดูของจริง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรก ไปที่ภาคตะวันออก ที่บางปะกง หน่วยงานของการไฟฟ่าฝ่ายผลิต
เราค้นหา case ที่โดน .. คือ KM ของแท้ ไม่ใช่พูดแต่ KM แต่ต้องอยู่ที่เรื่องการพัฒนางาน ทำไปทำมา จนได้สิ่งใหม่ๆ ที่เรียกว่านวัตกรรม ซึ่งก็คือ ของใหม่ที่นำมาใช้งาน ได้ผล เกิดประโยชน์ต่อคนทำงาน และผู้มารับบริการ
การเรียนรู้เรื่อง KM ... อย่าไปสนใจตัวนวัตกรรม จนกระทั่งลืมถามกระบวนการที่ได้มา วันนี้เราเน้นที่กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยใช้คำถามเพื่อการเรียนรู้ เช่น เกิดแรงบันดาลใจอย่างไร?
เช่น กรณีคนสวน ... แต่ก่อนเขาก็นั่งทำของเขาไป จัดสวน ทำอะไรๆ ในสวน แต่เกิดวันหนึ่งเขาได้มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทำไมเขาถึงยอม คนที่มีเทคนิคแบบนี้ ทำไมเขาถึงบอกเพื่อน ... สิ่งนี้เป็นเบื้องหลังของการได้มาซึ่งนวัตกรรม เบื้องหลังสำคัญ กระบวนการสำคัญ ถ้ากระบวนการดี สิ่งที่ท่านเรียนรู้ในวันนี้ ท่านเอากลับไป แล้วไปขับเคลื่อน สร้างเหตุปัจจัยให้มันเกิดกระบวนการแบบนี้ในที่สุด ท่านก็จะมีของดีดีเกิดขึ้นมากมาย
ถ้าท่านไปสนใจกับตัวของดี จนลืมซักถามคนที่ผ่านตรงนี้มา เพราะว่า วันแรกๆ เขาอาจไม่ได้ง่ายๆ เหมือนวันนี้ วันแรกชวนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อาจไม่มีใครยอมมา งานยุ่งจะตาย จะให้มาทำอะไร ลปรร. กันทำไม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ฟังดูง่าย แต่การที่เอาคนมา และให้เขาพูดออกมา อย่างตามีประกาย ไม่ใช่ซังกะตายพูด จะเห็นเลยว่า คำที่เราเรียกว่า Tacit knowledge หรือความรู้ปฏิบัติ ต้องออกมาจากคนที่ใจพร้อมให้ เราไม่สามารถบังคับใคร ให้ share สิ่งที่เป็นประสบการณ์สั่งสม เทคนิคเฉพาะตัวที่เขาทำสำเร็จ ถ้าเขาไม่ไว้ใจคนที่นั่งฟัง ไม่รู้ว่าที่พูดมามันจะโต้กับใครอย่างไร จะเหยียบเราจมดินไหม มันเป็นเรื่องใจเป็นส่วนใหญ่ ผมจึงอยากให้ท่านถามคำถามเหล่านี้เยอะ เช่น แรงบันดาลใจ
วันนี้ ไม่ต้องสนใจ ทฤษฎี KM มากนัก ... วันนี้ จะเป็นการเรียนรู้จากของจริง เป็นการเรียนรู้ที่ต้องก้าวข้ามทฤษฎีไป แล้วค่อยเอาทฤษฎีมาเติม ทฤษฎีเป็นสิ่งที่จะมาเติมเต็มภายหลัง ที่จะทำให้เราเข้าใจภาพใหญ่ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้ เราต้องสนใจตัวเป็นๆ เขาทำอย่างไร เขาเคยเจอปัญหาแบบที่เราเจอหรือไม่ และเขาแก้ไขตรงนั้นอย่างไร ... แบบนี้ สิ่งที่เขา share มา จะกลายเป็น tacit knowledge ทันที เพราะว่า นั่นคือ สิ่งที่เขาเจอ
และข้อดีของ tacit knowledge ก็คือ เวลาเราฟัง และเราปิ๊ง เราทำได้ แต่ข้อเสียคือ เราจำวิธี หรือกุศโลบาย หรือเทคนิคของเขาไปทำ ไม่ได้แปลว่า จะนำไปใช้ได้กับคนของเรา เพราะว่ามันต่างคนต่างชีวิตกัน ต่างกรรมต่างวาระ ต่างเวลา ไม่ได้แปลว่า เทคนิคที่ศูนย์อนามัยที่ 8 ใช้ได้ เราไปใช้ในคนของเขา ไม่เห็นใช้ได้ ก็เพราะว่า นี่คือ tacit knowledge เป็นเรื่องราวของเขา แต่คนละบริบท คนละสถานภาพของเรา แต่อย่างน้อยก็มีอะไรที่ให้เราลอง และเมื่อเราลองแล้วไม่ได้ คนของเรายังไม่ได้ เราก็ต้องลองใช้อะไรมากมาย จนกระทั่งได้ ก็จะเกิดความรู้ใหม่ ที่เป็นบริบท เงื่อนไขของเรา
KM จะสวยงามตรงนี้ ตรงที่ว่า ถ้าเป็น KM ที่เราเน้นเกี่ยวกับการจัดการ tacit knowledge หรือความรู้จริงปฏิบัติ มันแปลว่า มันจะสวยงาม จะมีพลัง และจะเป็นอะไรที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ มันไม่ได้เป็นอะไรที่ตายตัว
วันนี้ ผมอยากเปิดทางให้ท่านได้สัมผัสกับพลังแห่งการเรียนรู้ พลังแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พลังแห่งความรู้ที่มีสีสัน คือ การนำความรู้ปฏิบัติที่เป็นสิ่งที่เราได้ประสบมามา share กัน
เรื่องเล่าที่คนเล่ามีตวงตาแห่งความสุขที่ได้ถ่ายทอกสิ่งสำคัญในีวิต แบ่งปันให้คนรับรู้ มีให้เห็นในหลายเวที
การนำเสนอผลงานหรือการทำกิจกรรม เจ้าหน้าที่ ที่เป็นพี่เลี้ยงไปขึ้นเวที ชกแทน หมดสนุก
เรื่องร่วมเวที"เรื่องเล่าชาวใต้" มีเจ้าหน้าที่ทำ เพาว์เวอร์พ้อย มาฉายมาเล่า
แต่มี อสม. จากสตูลท่านหนึ่ง มาเล่า แบบสำเนียง เสียงสตูล เรื่องที่เขา ไปเก็บข้อมูล ไปบอกให้ชาวบ้านเห็นถึงพิษเคมีที่ชาวบ้าน ใช้ กระสอบกระสอบ ข้าวสาร ในข้างสุกในงานต่างๆ
กรรมการฟังภาษาใต้ไม่รู้เรื่อง เสียดายเรื่องเล่าดีๆทำนองนี้ครับ หมอ
งานนี้เขต 8 โชคดีที่หมอนน มาด้วย ขอบคุณบันทึกดี ๆ เช่นนี้นะครับ ขอถือโอกาสใช้บันทึกนี้ในการถอดบทเรียน KM ของศุนย์เลยนะครับ
สารภาพว่า ไม่เคยรู้จัก KM แต่ชอบประโยคนี้มากคะ
ไม่ต้องสนใจ ทฤษฎี KM มากนัก ... วันนี้ จะเป็นการเรียนรู้จากของจริง เป็นการเรียนรู้ที่ต้องก้าวข้ามทฤษฎีไป แล้วค่อยเอาทฤษฎีมาเติม ทฤษฎีเป็นสิ่งที่จะมาเติมเต็มภายหลัง
KM คือ Knowledge Management ของ I and you and another.