ท่องปักกิ่งดินแดนประวัติศาสตร์…..


เมื่อนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ศึกษาดูงาน ณ เมืองเทียนจิน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

ระหว่างวันที่ 9 – 13 กันยายน 2552

ท่องปักกิ่งดินแดนประวัติศาสตร์…..

วันพุธที่ 9 กันยายน 2552 ..กรุงเทพฯ(สนามบินสุวรรณภูมิ) – ปักกิ่ง – สนามกีฬาปักกิ่ง – วัดลามะหยงเหอกง - ถนนหวังฝู่จิ่ง








05.30 น. คณะนักศึกษาพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประตูทางเข้าที่ 9 เคาน์เตอร์ T สายการบินศรีลังกัน แอร์ไลน์ พบเจ้าหน้าที่บริษัท เฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์ จำกัด คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกในเรื่องสัมภาระและเอกสารการเดินทางเมื่อนักศึกษาผ่านกระบวนการตรวจจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ในการเดินทางสู่นครปักกิ่งดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้
07.40 น. สายการบินศรีลังกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ UL888 สายการบินนี้มีพนักงานบนเครื่องบินเป็นชาวศรีลังกา ทั้งหญิงและชาย แต่งกายด้วยชุดประจำชาติ แต่ดูอย่างไรก็สู้หนุ่มสาวบนสายการบินไทยไม่ได้ แต่ก็ยังดีนะที่ไม่มีกลิ่นเครื่องเทศหรือกลิ่นแขกสักพักเจ้าหน้าที่บนเครื่องก็มีอาหารบริการ เลือกที่จะทานออมเลตมีกลิ่นเครื่องเทศนิดหน่อย รสชาติอร่อยดี แต่การบริการไม่ค่อยประทับใจ
13.20 น. คณะนักศึกษาเดินทางถึงสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง (เวลาท้องถิ่นของประเทศจีนเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง) ต้องปรับนาฬิกาตามเวลาของกรุงปักกิ่ง จะได้ไม่สับสนเรื่องเวลา หลังจากผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว มองไปรอบ ๆ สนามบินนานาชาติของกรุงปักกิ่งความหรูและทันสมัยยังแพ้สุวรรณภูมิ เห็นสนามบินของเขาแล้ว เราภูมิใจสนามบินสุวรรณภูมิของประเทศไทยมาก จากนั้นเดินทางโดยรถบัสปรับอากาศ (ซึ่งเราอยู่บัส 2 เป็นสาขาหลักสูตรและบริหารธุรกิจ) ในการมาศึกษาดูงานในครั้งนี้มีคณะนักศึกษาปริญญาโทจำนวน 180 คน มีรถบัสทั้งหมด 5 คัน เป็นคณะทัวร์ที่ใหญ่มาก (เจ้าหน้าที่ทัวร์เขาบอกเป็นคณะทัวร์ที่ใหญ่ที่สุดที่เขาได้จัดทัวร์มา) รถนำคณะนักศึกษามุ่งสู่ นครปักกิ่ง มหานครที่ยิ่งใหญ่ประกอบไปด้วย ตึกรามบ้านช่องอันทันสมัยแต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงดำรงความเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจตลอดจนประเพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ บนรถบัส 2 นี้ มีมัคคุเทศก์ไทยจากบริษัทเฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์ จำกัด มีชื่อเรียกตามที่เขาแนะนำว่า “คุณป๊อก” ส่วนมัคคุเทศก์ท้องถิ่นจีนมีชื่อเรียกว่า“คุณชาญชัย”เป็นคนจีนพูดและฟังภาษาไทยได้ดีเพราะเป็นนักศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษากับไทย ตามมารยาทเมื่อรู้จักเขาแล้ว นักศึกษาทุกคนก็ต้องแนะนำตัวเองโดยใช้การเรียกชื่อเล่นเพื่อการจำที่ง่าย จากสนามบินเดินทางไปชม วัดลามะหยงเหอกง เป็นวัดไทยในนิกายลามะชมวัดซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิ์ ย่งเจิ้นหรือองค์ชายสี่ในสมัยราชวงศ์แมนจูและเป็นที่ประสูติของจักรพรรดิเฉินหลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์เช็งก่อนจะกลายสภาพมาเป็น วัดไทยในนิกายลามะมีพระพุทธรูปไม้จันทน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่แกะสลักจากไม้จันทน์ต้นเดียวและมีความสูงถึง 27เมตร จากนั้นไปชมสนามกีฬาโอลิมปิคปี 2008ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของชาวเยอรมันโครงสร้างและรูปแบบตัวอาคารได้นำวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ในการก่อสร้างคนทั่วๆไปเรียกรังนกกระจอก สนามกีฬานี้เป็นช่วงเย็นอากาศดีคนเยอะมาก ระหว่างทางจะเห็นอะไรแปลก ๆ ซึ่งเป็นข้อสงสัยให้ต้องถามมัคคุเทศก์ท้องถิ่น

มอเตอร์ไซต์ ในกรุงปักกิ่งไม่มีคนขับมอเตอร์ไซต์บนถนนให้ได้พบเห็น เหตุผลเพราะปักกิ่งเป็นเมืองหลวงเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญของกระทรวงต่างๆและเป็นที่ทำงานของนักการเมือง จึงต้องลดมลพิษและลดอุบัติเหตุ

ผู้หญิงท้อง ในกรุงปักกิ่งไม่มีให้เห็น (เขาบอกจะเห็นก็น้อยมาก) เหตุผลเพราะว่าประเทศจีนมีประชากรเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงควบคุมการเกิดของประชากร ให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียงคนเดียว ถ้าครอบครัวใดมีเกิน 1 คน จะถูกปรับ 1-2 แสนหยวน แต่ถ้าดื้อดึงที่จะมีเด็กและไม่ยอมให้ปรับ เด็กที่เกิดใหม่จะไม่มีบัตรประชาชน

สุนัข บนถนนในกรุงปักกิ่งหรือที่ต่าง ๆ ในชุมชนจะไม่เห็นสุนัขเดินเพ่นพ่าน เพราะคนปักกิ่งรับประทานสุนัขเป็นอาหารซึ่งเขาเชื่อว่าเนื้อสุนัขทำให้ร่างกายอบอุ่น เพราะที่นี่เมื่อถึงฤดูหนาวจะหนาวมาก แต่ก็มีคนเลี้ยงสุนัขสวย ๆ ไว้ ซึ่งรัฐจัดเก็บภาษีแพงมาก

กระเทย ในกรุงปักกิ่งมีตุ๊ดมีเกย์ให้เห็น แต่จะไม่เห็นผู้ชายแต่งกายเป็นหญิงซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า กระเทย เพราะถ้าเป็นกระเทยจะเสียค่าปรับแพงมาก พวกกระเทยคงหนีมาอยู่เมืองไทยกันหมด เพราะเมืองไทยมีเยอะมาก

นอกจากนี้คุณชาญชัยมัคคุเทศก์จีน ยังได้แนะนำของดีของปักกิ่งซึ่งมีทั้งหมด 5 อย่าง ซึ่งควรซื้อกลับไปใช้หรือเป็นของฝาก ได้แก่

1. บัวหิมะ
2. ผ้าไหม
3. หยก
4. ไข่มุก
5. ยาจีน

ประมาณ 1 ชั่วโมงที่เขาให้นักศึกษาชมสนามกีฬาและถ่ายภาพ เหนื่อยและปวดเท้ามากเพราะไม่เคยเดินไกล ๆ อย่างวันนี้กลับขึ้นรถและไปทานอาหารเย็นซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกบนผืนแผ่นดินจีนอาหารมีรสชาติเหมือนอาหารจีนในเมืองไทย ก็อร่อยดีคงเป็นเพราะหิว ทานอาหารเสร็จไปเดินช้อปปิ้งย่านถนนหวังฝู่จิ่ง ถนนนี้เป็นถนนคนเดินที่มีบรรยากาศแบบยุโรปมีตึกทันสมัยสวยงามและเป็นแหล่งช้อปปิ้ง มีสินค้านานาชนิด เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ขนม ยาจีน และสินค้าต่าง ๆ มากมาย ได้แต่เดินดูไม่ได้ซื้อเพราะแพง และเหนื่อยไม่มีอารมณ์ที่จะซื้อของ กลับโรงแรมที่พัก พักที่ HOLIDAY INN AN HOTEL ได้ห้องพักชั้นที่ 3 ห้องพักที่ 388 พักคู่กับครูบุษบา แสนล้ำ ครูโรงเรียนศรียาภัย

วันพฤหัสสบดีที่ 10 กันยายน 2552 .. จตุรัสเทียนอันเหมิน – พระราชวังโบราณกู้กงพระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน







05.30 น. ตื่นตามเสียงโทรศัพท์ปลุกของโรงแรม อาบน้ำแต่งตัวแล้วไปทานอาหารเช้าตามที่โรงแรมจัดไว้ให้ อาหารที่จัดไว้เป็นแบบแบบบุฟเฟ่ มีอาหารฝรั่งปนอาหารจีน เลือกทานข้าวต้มกับไข่เจียว ผัดผักกวางตุ้งเกาหลี และกาแฟแก้เลี่ยน ข้าวต้มเขาต้มได้อร่อยมาก หอม นุ่ม กลมกล่อม รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วทุกคนต้องขึ้นประจำบัสของตัวเอง
08.00น.ไปชม จัตุรัสเทียนอันเหมิน ใจกลางกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นจัตุรัสที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลกเพราะมีพื้นที่ประมาณ 240 ไร่ สามารถบรรจุคนได้คราวเดียวกันถึง 500,00 คน ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดพิธีเนื่องในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ชม อนุสาวรีย์วีรชนและมหาศาลาประชาคม ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมประชาชนของจีนแบบเดียวกันกับที่ประชุมรัฐสภาของไทย และยังใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของจีนอีกด้วย ผ่านชมอนุสรณ์สถานของท่านประธานเหมาเจ๋อตุง ตึกรัฐสภา คนเยอะมากถ่ายรูปลำบากเพราะหาช่องว่างในการกดชัตเตอร์ยากมาก อากาศดีมีแดดแต่ไม่ร้อนเหมือนเมืองไทย เดินชมจนเมื่อยขาและปวดเท้า เดินต่อไปชมพระราชวังโบราณกู้กงหรือพระราชวังต้องห้าม สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ เป็นที่ประทับของจักรพรรดิ 24 พระองค์ ตั้งแต่ราชวงศ์หมิงและชิง บนเนื้อที่ 72,000 ตารางเมตร ใช้เวลาสร้างยาวนาน 14 ปี เป็นพระราชวังที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ มีสนมถึง 9,999 คน ใหญ่โตมีคนเข้าชมมากเหมือนกับทุกที่ที่ผ่านมา เที่ยงทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารจีนเริ่มจะเลี่ยนแล้ว คณะทัวร์เตรียมน้ำพริกนรกและน้ำปลาพริกมาแจกจ่ายทุกโต๊ะ ผลไม้หลังอาหารเป็นแตงโมหวานชื่นใจ
13.00 น. เข้าศูนย์รักษาอนามัยเพื่อนวดฝ่าเท้า เป็นของรัฐบาลที่คณะทัวร์จะต้องแวะไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เข้าไปนั่งให้นวดฝ่าเท้า ซึ่งทุกคนจะถูกขอร้องแกมบังคับให้นวดเจ็บนะแต่ก็พอทน ขณะที่นวดคนนวดก็จะพูดถึงสรรพคุณของน้ำมันที่นวด และมีหมอแมะมาตรวจชีพจรทุกคนต้องซื้อยาเพราะกลัวตายตามที่หมอแมะบอกเป็นโรคนั่นโรคนี่ หมดกันคนละหลายตังค์ แต่เราไม่สนใจหรอกไม่เชื่อและไม่ให้ตรวจ เก็บตังค์ไว้ซื้อของสวยๆเช่นไข่มุกคงจะดีกว่านะ จากการที่เข้าไปนวดจะรู้ว่านี่คือวิธีขายยาอย่างหนึ่ง ต้องยอมรับว่าคนจีนเขาเก่งเรื่องการค้าขายเขานวดไปกล่อมลูกค้าที่กำลังนวดอยู่ให้ซื้อยาของเขา ต่ำสุดก็200 หยวน และสูงถึงหลายพันหยวน เรานั่งนวดคู่กับท่านดร.บังอร เสรีรักษ์ ท่านเป็นอาจารย์ที่สอนเรื่องการคิดเรามา ท่านจึงใช้เหตุการณ์นี้สอนเรื่องการคิดว่า คงต้องคิด “แบบมีวิจารณญาณ”นะงานนี้ จากนั้นก็ไปชมพระราชวังฤดูร้อนอวี้เหอหยวน ซึ่งเคยใช้เป็นที่ประทับและว่าราชการของพระนางซูสีไทเฮา โดยใช้งบประมาณทหารเรือในการก่อสร้าง ชมทะเลสาบคุนหมิง ซึ่งเป็นทะเลสาบเทียมที่ใช้แรงงานจากทหารขุด ชมปราสาท ตำหนักเก่าและศาลาในรูปแบบต่าง ๆ ชมระเบียงยาวที่สุดในโลกยาว 72 เมตร ภายในยังมีโรงมหรสพ ครั้งที่พระนางซูสีไทเฮายังมีชีวิตอยู่ โรงงิ้วสมัยโบราณได้สร้างความรื่นรมย์ให้กับพระนางเป็นอย่างมาก

ในการเข้าชมพระราชวังพระราชวังโบราณกู้กง หรือ พระราชวังต้องห้าม และพระราชวังฤดูร้อน อวี้เหอหยวน จะเห็นว่าเป็นระบบศักดินามีการกดขี่ข่มเหงประชาชน เพื่อความสุขของคนส่วนน้อยซึ่งมีอำนาจในขณะนั้น เช่นกรณีที่พระราชวังฤดูร้อนพระนางซูสีไทเฮาจะขึ้นไปไหว้พระบนศาลาที่ตั้งบนเขาที่ลาดชัน ทหารที่แบกเกี้ยวข้างหน้าต้องคุกเข่าแบกเกี้ยวเดินขึ้นเขา เพื่อให้เกี้ยวด้านหน้าและด้านหลังเสมอกัน พระนางจะได้นั่งสบาย ๆ หรือกรณีที่พระราชวังต้องห้ามที่จักรพรรดิมีพระสนมหลายพันคน น่าเห็นใจคนเหล่านั้น เราโชคดีที่เกิดเป็นคนไทยจึงมีแต่ความสุขสบายไม่ต้องทนทุกข์กับระบบศักดินา

17.40 น. ชมกายกรรมปักกิ่งสุดยิ่งใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศจีนที่ใช้เวลาฝึกฝนนานนับปี ตื่นตาตื่นใจกับความสามารถของเหล่านักแสดงตัวน้อยและแสงสีตระการตา กายกรรมแสดงประมาณ 1 ชั่วโมง ทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เวลาประมาณ 3 ทุ่ม กลับเข้าที่พักที่โรงแรม HOLIDAY INN AN HOTEL

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2552 .. ปักกิ่ง – เทียนจิน – ศึกษาดูงาน – ปักกิ่ง- ตลาดรัสเซีย





06.00 น. เสียงโทรศัพท์จากโรงแรมดังขึ้นเป็นการเตือนว่าลุกได้แล้ว อาบน้ำแต่งตัว

07.00 น.ไปทานอาหารเช้าเหมือนกับ 2 วันที่ผ่านมาอาหารก็เหมือนเดิม

08.00 น. เดินทางสู่เมืองเทียนจิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเทียนจิน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่าทางรถได้แวะให้เข้าห้องน้ำ แต่เราไม่ได้เข้าหรอกนะ แค่ฟังคนที่เข้าไปแล้วออกมาเล่าให้ฟัง ก็สยองเขาบอกสกปรกมาก แต่ละคนแทบจะอาเจียนมีกลิ่นติดเสื้อมาด้วย นึกแล้วขนลุก ทำไมนะประเทศจีนพัฒนาในทุกๆด้าน แต่เรื่องห้องน้ำไม่ยอมพัฒนาเอาเสียเลย ห้องน้ำเกือบทุกสถานที่จะสกปรกไม่มากก็น้อย จะให้ดีจริงๆ คงมีแต่ในโรงแรมเสียล่ะมั้ง ไม่เหมือนเมืองไทย ขณะนี้กำลังรณรงค์เรื่องห้องน้ำสะอาดทั้งในสถานศึกษา ตามปั๊มน้ำมันต่าง ๆ แต่ละแห่งแข่งขันกันเรื่องความสะอาด ทำให้คนใช้บริการมีความสุขที่ได้เข้าไปใช้ห้องน้ำออกมายิ้มหน้าใสกัน ถ้วนหน้าแต่ระหว่างทางมีอุบัติเหตุรถชนกันไปไม่ได้เขาปิดถนน (เหมือนบ้านเรานะ) คนขับต้องไปเส้นทางอื่นทำให้เสียเวลามาก กว่าจะไปถึงมหาวิทยาลัยเทียนจินก็ใกล้เที่ยงแล้ว ได้รับการต้อนรับจากคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี ฟังบรรยายแล้วสับสนเขาไม่พูดเรื่องการศึกษาเอาเสียเลยมีแต่เรื่องเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศ มีนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่โน่นเป็นล่ามแปล กว่าจะได้ทานอาหารกลางวันก็เที่ยงกว่าแล้ว ทานอาหารที่ภัตตาคารที่ดีที่สุดในเมืองเทียนจิน แต่อาหารแย่ที่สุดแย่กว่าทุกมื้อ พะอืดพะอมทานไม่ลง ทานเสร็จเดินชมตลาดได้บ๊วยสดและกีวีเชื่อม ราคาค่อนข้างจะถูกกว่าปักกิ่งมาก ของอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรที่น่าซื้อ

14.00น. ออกจากเมืองเทียนจินเดินทางกลับปักกิ่งแวะร้านไข่มุกซึ่งเป็นของรัฐบาลทุกทัวร์ต้องแวะตามนโยบายของเขา โรงงานแห่งนี้เป็นทั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายไข่มุกที่นี่เป็นไข่มุกน้ำจืด เขาสาธิตการแกะหอยที่เลี้ยงมุก หอยตัวนี้เมื่อผ่าออกมามีไข่มุกถึง 16 เม็ด ซึ่งเขาบอกว่าบางตัวมี 20 กว่าเม็ด ซึ่งไม่แน่นอน มุกน้ำจืดมี 4 สี ได้แก่ ขาว ชมพู เทาและม่วง มุกที่นี่มีจำหน่ายทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน และเครื่องประดับอื่น ๆ นอกจากนั้นเขายังนำเอาเม็ดไข่มุกที่ไม่สวยมาทำเป็นครีมไข่มุกรักษาและบำรุงผิวหน้าสาว ๆ อีกด้วย วันนี้มีคนอุดหนุนทั้งเครื่องประดับและครีมไข่มุก เราเองเลือกได้ 2-3 ชิ้น เป็นมุกเกรดเอ สวย ราคาพอสมควร ไม่มากไม่น้อย 600 หยวน ออกจากร้านไข่มุกคณะนักศึกษาก็ได้ไป ช้อปปิ้งที่ ตลาดรัสเซีย ที่นี่เขาบอกราคาสินค้าสูงมากแต่ก็สามารถต่อรองได้ชนิดที่ว่าสุดโหดมาก ๆ เจอกระเป๋าสวยถูกใจถามราคาเขาบอก 1,280 หยวน (คิดแบบง่าย ๆ เป็นเงินไทยเท่าไรก็ คูนด้วย 5 ) แพงมาก ยืนต่อรองจนเหนื่อยเราต่อ 80 หยวน เขาไม่ให้ เราออกจากร้นไปเขาก็ดึงและฉุดรั้งไว้ไม่ให้ไปให้ต่อรองราคาใหม่ ก็ยืนยัน 80 หยวนเหมือนเดิม ในที่สุดเขาก็บอกโอเค ๆ จึงได้มา กว่าจะได้ของแต่ละชิ้นเหนื่อยและทรมานมาก ของที่นี่ไม่มีของจริงเป็นของปลอมทั้งหมด ปลอม 100%แต่เลือกดี ๆ ก็จะได้สินค้าที่ปลอมแต่คุณภาพดี เขาให้เวลา 1 ชั่วโมงในการเลือกซื้อของ ก็ซื้อได้ 2-3 ชิ้น มัวแต่เสียเวลาต่อรอง เหนื่อยมาก ที่ต้องต่อสู้กับคนขายในเรื่องราคา ถึงเวลากลับขึ้นรถแต่ละคนหอบของพะรุงพะรัง งานนี้ห้ามถามราคากันเพราะจะทำให้เสียความรู้สึกกันได้ เสร็จจากซื้อของเขาพาไปทานอาหารที่ขึ้นชื่อของปักกิ่งนั่นคือ “เป็ดปักกิ่ง” ไม่เห็นจะอร่อยก็งั้น ๆ แหละ เป็ดพะโล้ที่ขายในเมืองไทยอร่อยกว่าเยอะ คืนนี้กลับเข้าที่พักเกือบห้าทุ่มแล้ว กว่าจะได้อาบน้ำนอนก็ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2552กำแพงเมืองจีน – พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง







06.00 น. เสียงโทรศัพท์ปลุกจากโรงแรมก็ดังเช่นเคย อาบน้ำแต่งตัวไปทานอาหารเช้า อาหาร เดิม ๆ ตามปกติ

08.00 น. ไปชมความยิ่งใหญ่ของ กำแพงเมืองจีน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของกำแพงที่สร้างด้วยเลือดเนื้อแรงงานของคนจีนกว่า 30,000 คน ยาวกว่า 10,000 ลี้ (5,000 กิโลเมตร) เป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวที่มนุษย์อวกาศมองเห็นได้จากดวงจันทร์ สร้างในสมัยจักรพรรดิ จิ๋นซีฮ่องเต้ ใช้เวลาสร้างนานถึง 10 ปี กำแพงนี้ครอบคลุมอาณาบริเวณถึง 5 มณฑล 2 แคว้น คนเยอะมากมีคณะทัวร์จากไทยหลายคณะ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงhighseason อากาศกำลังสบายคนจึงมาเที่ยวกัน มัคคุเทศก์นำขึ้นบนกำแพงซึ่งมีอยู่ 5 ป้อม ขึ้นไปได้ป้อมเดียวก็ไม่ไหวแล้วเพราะกลัวความสูงและเหนื่อยที่ต้องเบียดกับคนเยอะ ๆ เลือกซื้อของที่ระลึกเป็นสัญลักษณ์กำแพงเมืองจีนเป็นของฝาก เที่ยงได้ลิ้มลองสุกี้มองโกล ก็เหมือน ๆ กับสุกี้บ้านเรา มีเนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อแพะ และเนื้อปลา สไลด์บาง ๆ แช่เย็น นอกจากนั้นก็มีกุ้งและผัก2-3 ชนิด น้ำจิ้มทัวร์นำมาจากเมืองไทยเป็นน้ำจิ้มสุกี้ตราพันท้ายนรสิงห์ เข้ากันดี อร่อยมาก เพิ่งจะทานอาหารที่ปักกิ่งได้อร่อยก็วันนี้แหละ และเป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองเนื้อแพะ ทานตามแรงคะยั้นคะยอของน้อง MBA เขาบอกเขาทานมาตั้งแต่เด็ก ๆ อร่อยมาก ลองทานดูก็อร่อยจริง ๆ มีโอกาสจะทานอีกชักติดใจ มองดูแต่ละคนในโต๊ะทานกันอร่อยมากโดยเฉพาะท่านอาจารย์บังอร และเนื้อแพะที่ต้องนำมาเพิ่มถี่ยิบ วันนี้ได้ลองของแปลก

13.00น. ไปชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง เข้าไปแล้วแต่ไม่ชอบ โบราณ ๆ น่ากลัว คงเพราะเป็นคนกลัวผีมั้ง จึงไม่ได้ฟังการบรรยายเลี่ยงออกมาชมสินค้าด้านนอกแต่ไม่ได้ซื้อไม่มีอะไรน่าสนใจ ประมาณ1ชั่วโมง ออกจากที่นี่ไปร้านที่ผลิตและจำหน่ายบัวหิมะ ฟังคำบรรยายสรรพคุณมากมาย สินค้าเขามีหลากหลายชนิด แต่ซื้อบัวหิมะมาในราคา 250 หยวน เป็นของฝากและซื้อกอเอี๊ยะเป็นซองเล็กมา 5ซอง ๆ ละ 8 หยวน นึกถึงตอนเด็ก ๆ เวลาปวดฟันแม่มักเอากอเอี๊ยะมาแปะให้ คณะเราพร้อมใจที่จะไปตลาดรัสเซียอีกสักครั้งเพราะยังมีเวลานิดหน่อย ก็ได้ไปนะแต่เป็นตลาดรัสเซียใหม่ เพราะตลาดเก่าเขาปิดถนนซ้อมงานวันชาติจีน ที่ตลาดรัสเซียใหม่สินค้าน้อย คนก็น้อย ราคาสินค้าก็บอกสูงแต่ต่อรองง่ายกว่าตลาดเก่า ไม่มีดึงรั้งหรือฉุดกระชาก ได้กระเป๋าถือ มา 2 ใบ ก็กลับมารอที่รถเพราะไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก เพื่อน ๆ บอกที่นี่ “ช้อปไม่มัน” คงจริงนะเซ็ง ๆ กว่าจะออกจากตลาดรัสเซียก็ 2 ทุ่มเข้าไปแล้ว ไปทานอาหารที่ภัตตาคารที่มื้อแรกมาถึง วันนี้อาหารอร่อยคือเป็นอาหารจีนที่รสชาติเหมือนที่เมืองไทย กลับโรงแรมดึกมากแล้ว จัดกระเป๋าแล้วลองหยิบตาชั่งในห้องน้ำมาชั่งดูสองคนกับเพื่อนที่พักด้วยกัน ชั่งแล้วก็นั่งขำตัวเองที่ของเยอะน้ำหนักไม่ลงตัว หนักมากมากระเป๋าใบเดียวกลับ 2-3ใบ นับเงิน โห!เหลือเพียบทำไงดีล่ะ! แลกคืนคงขาดทุนยับเยิน คงต้องไปซื้อขนมแถวสนามบินให้หมด

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2552 ประตูชัย - กรุงเทพฯ





06.00 น. เขาปลุกอีกเช่นเคยแต่เช้านี้ดีใจที่จะได้กลับบ้าน คิดถึงบ้านแล้วมาหลายวันในความรู้สึกว่านานมาก เอากระเป๋าลงมารวมไว้ที่ลอปบี้แล้วไปทานข้าว เสร็จแล้วขึ้นรถ มัคคุเทศก์พาไปที่ประตูชัยเมืองปักกิ่ง จริงๆ การแวะที่ประตูชัย เพื่อไหว้ปี่เซี๊ยะประจำเมืองนั้น ไม่มีในโปรแกรมแต่เพราะมีคนสนใจครั้นพอทราบว่า ที่นี่เป็นประตูชัยและเป็นที่รักษาปี่เซี๊ยะที่เหล่าคนทำการค้าทั้งไทย จีน สิงคโปร์ ฮ่องกงต่างหลั่งไหลกันมาเพื่อกราบไหว้ และเช่าปี๊เซี๊ยะที่ได้ผ่านพิธีเบิกเนตรเรียบร้อยไปเสริมมงคล และความเฮงของตนไปดู ปีเซียะ สถานที่นี้เข้ายากมากต้องเป็นช่วงเช้าเท่านั้น และต้องทำหนังสือขออนุญาตถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด จึงไม่มีรูปมาให้ชม จะเข้าไปในสถานที่นี้มัคคุเทศก์ท้องถิ่นแนะนำให้ก้าวเท้าซ้ายเข้าไปก่อน เพราะคนจีนเขาถือว่ามือซ้ายหรือเท้าซ้ายจะนำโชคลาภและเงินทองมาให้ เข้าไปข้างในชมและฟังคำอธิบายแล้วน่าสนใจมาก เพราะปีเซี้ยะที่นี่ปลุกเสกตามพิธีกรรมอย่างครบถ้วนเขามี ปีเซี้ยะจำหน่าย(ให้เช่า) ด้วยนะ มีหลายขนาดและหลายราคา เป็นหยกแท้สวย ฟังเขาอธิบายถึงสีของหยกที่คนแต่ละอาชีพจะนำปีเซี้ยะไปครอบครอง จำได้แต่ข้าราชการควรใช้ปีเซี้ยะที่ทำจากหยกสีขาว ยังมีเงินหยวนเหลืออยู่ จึงเอามาตัวหนึ่งเป็นหยกสีขาวสวยและน่ารักดี 180 หยวน แต่เราเป็นคนไทยแท้ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ คงเอาไปเป็นของฝาก เขาบอกว่ามีปีเซี้ยะไว้แต่ไม่ทำพิธีเปิดตาจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนมีไว้ดูเฉยๆคุณชาญชัยมัคคุเทศก์จีนจึงบอกวิธีเปิดตาให้ และเราลองมา ทำความรู้จักปีเซียะ ต้นกำเนิด ลักษณะและวิธีบูชา

พิธีเปิดตาปีเซี้ยะเพื่อให้รู้จักเจ้าของ

เมื่อได้ปีเซี้ยะแล้วควรทำพิธีเปิดตาดังต่อไปนี้

  1. นำใบส้มโอหรือใบทับทิมแปดใบหรือแปดยอด
  2. เตรียมนำน้ำเดือดและน้ำเย็นอย่างละเท่า ๆ กันผสมเข้าด้วยกันแล้วเอาในส้มโอหรือใบทับทิมใส่ลงไปและใส่เกลือเล็กน้อยแช่ไว้ 8 นาที
  3. นำองค์ปีเซี้ยะวางในน้ำที่ผสมไว้ 8 นาที แล้วนำผ้าสีแดงมาคลุมทั้งตัว ในน้ำในอ่างและเช็ด ๆ ถู ๆ อาบน้ำ 8 นาที แล้วยกมาวางบนโต๊ะ หันหน้าของปีเซี้ยะมาทางเจ้าของแล้วเปิดผ้าสีแดง
  4. เอาไปตั้งไว้ที่โต๊ะทำงาน หรือในที่ ๆ เราต้องการ
วันที่ทำพิธีควรเป็นวันพระหรือวันดีงามแปดโมงแปดนาที

11.00 น. ทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารอย่างรีบเร่งเพื่อเตรียมไปสนามบิน ทานเสร็จไปสนามบินนำกระเป๋าชั่งน้ำหนักใช้วิธีจับคู่กับเพื่อนที่กระเป๋าเบา ๆ จะได้แชร์น้ำหนักกัน คนละ 20 กิโลกรัม สองคนรวมกันอยู่ใน 40 กิโลกรัมผ่านสบายมาก คุณป๊อกยังฝากอีกกระเป๋าหนึ่งด้วย เมื่อผ่านกระบวนการทุกอย่างแล้ว เทียวบินศรีลังกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ UL889 ก็บินออกจากสนามบินนานาชาติปักกิ่งเมื่อเวลา14.40 น. บนเครื่องก็มีอาหารแปลก ๆ ไม่อยากทานเพราะไม่ชอบกลิ่น อีกอย่างตื่นเต้นจะถึงเมืองไทยแล้ว คิดถึงบ้าน ถึงสุวรรณภูมิเวลา 18.44 น. เวลาเมืองไทย ขอบคุณคณะเจ้าหน้าที่ทัวร์ของบริษัทเฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์ ที่บริการได้ประทับใจโดยเฉพาะคุณป๊อกผู้ดูแลบัส 2

ตอนนี้เห็นบันไดแล้วขยาด ไปจีนครั้งนี้เบื่อบันไดเพียงแค่ 3 ขั้นก็อยากจะหันหลังกลับเสียแล้ว.....เพราะต้องเดินขึ้นเดินลงมาตลอด 5 วัน แต่ก็ดีใจนะที่ได้ไปเยือนปักกิ่งเมืองแห่งประวัติศาสตร์

หนีห่าว.......ไจ้เจี้ยน




ขอบคุณ"คุณชาญชัย"มัคคุเทศก์จีนและ
ขอบคุณ "คุณป๊อก" บริษัทเฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์

หมายเลขบันทึก: 297993เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2009 22:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 สิงหาคม 2015 20:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

น่าสนใจมากครับ

ถ้าจัดหน้าใหม่ ย่อหน้าบ้างในแต่ละวันจะอ่านง่ายขึ้นอีกเยอะ

บันทึกยาว อาจจะนำขึ้นโพสต์เป็นตอนๆก็ได้ครับ ไม่งั้นผู้อ่านจะตาลายครับ

สิ่งที่น่าใน น่าศึกษาค้นคว้า น้าไปด้วยค่ะ แต่คงไม่มีดอกาสถึงขนาดนั้น

โห ตกลงไปเรียนรึไปเที่ยวนี่ เดี๋ยวทำงานเก็บเงินไปเที่ยงบ้าง

เป็นการศึกษาดูงานเป็นส่วนหนึ่งของภาควิชานี้ 

อ่านบันทึกแล้วอยากไปเที่ยวปักกิ่งอีกจังเลย...เรียนโทคงสนุกได้ไปเที่ยวลืมอายุไปเลย...อิจฉาจัง

ก็คงใช่นะ  ถ้าไม่ได้เข้ามาเรียนโทก็ยังไม่ทราบว่าจะได้ไปหรือเปล่า?  มีโอกาสก็น่าจะลงเรียน

ค่ะ  ไปถูกที่แล้วเพราะเราเป็นคนไทยมีความผูกพันกับคนจีนเป็นเสมือนพี่น้องกัน  ได้เห็นดินแดนประวัติศาสตร์ก็ได้ความรู้มาเยอะ  อีกอย่างเราเป็คนเอเชียด้วยกัน  คิดว่าคุ้มนะคะ  ขอบคุณคุณเบดูอินที่แวะมาเยี่ยมค่ะ

อ่านแล้วเหมือนได้ไปเที่ยวมากับตัวเองเลยนะเนี่ย เห็นภาพเลย อิอิ สิ่งที่ชอบที่สุดคืออากาศช่วงนี้ดีมาก ๆ ถึงมากที่สุด ชอบจัง อ่านแล้วได้ความรู้ด้วย ขอบคุณนะคะ เพราะออยเก็บแต่ภาพ ไม่มีข้อมูลอื่นเลย

เมื่อกี้ลมแสดงตัว ออยเองค่ะ

ขอบคุณในคำชมนะ  จริง ๆ แล้วเราก็ไปมาด้วยกันและขอบคุณอีกครั้งสำหรับภาพสวย ๆ ด้านล่างที่ส่งมาให้

น่าสนใจจังค่ะ

ขอบคุณค่ะ ที่นำมาให้ชม

ขอบคุณค่ะ อาจจะยาวไปแต่ก็ต้องการให้อยู่ในหน้าเดียวกันเพื่ออ่านแล้วจะได้ต่อเนื่อง

เฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์

ในนามของบริษัท เฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์ จำกัด

ขอกราบขอบพระคุณครูแอ๋มและคณะนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่ได้ให้โอกาสพวกเรานำคณะเดินทางศึกษาดูงานในครั้งนี้ครับ

หากการเดินทางในครั้งนี้ผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องประการใด ทางบริษัทฯขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

ขอแสดงความนับถือ

คณะผู้บริหารและพนักงานบริษัท เฟิร์สท เวิล์ด ทัวร์ จำกัด

0-2864-2157-9

www.fwt2003.com

พวกเราต้องขอบคุณในการบริการของคุณมากกว่าค่ะ  ขอบคุณที่ดูแลพวกเราอย่างดี ประทับใจทุกครั้งที่ใช้บริการบริษัทนี้  และนี่ก็คือครั้งหนึ่ง http://gotoknow.org/blog/khaotalom/176011

สวัสดีค่ะ พาน้องไอซ์มาเที่ยวปักกิ่งด้วยคนค่ะ  สวยจังน่ะค่ะ

 ไอซ์อยากไปจัง..แม่..ยินดีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ                               

มีโอกาสคุณแม่ก็พาไปนะคะ ไปเป็นครอบครัวดีนะ

น่าเที่ยวจัง

อยากไปด้วย

ครูบู่คงมีโอกาสสักวัน

บรรยากาศน่าเที่ยวอีกรอบนะคะ ไปที่เดียวกันเลยค่ะ

เก็บภาพไว้เพื่อรำลึกถึง


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท