ผักหวานป่าพืชป่าทำเงิน: เมื่อผักหวานป่าเริ่มแตกใบอ่อน ชาวบ้านก็ขึ้นภูไปเก็บยอดอ่อนทั้งมากินและขาย โดยมีพ่อค้าจากอำเภอนาแกมารับซื้อในหมู่บ้านโดยตรง หรือผ่านพ่อค้ารวบรวมในหมู่บ้านอีกต่อหนึ่ง ในราคาที่ชาวบ้านพึงพอใจ และขายได้ตลอด เก็บมาได้เท่าใดก็ขายได้หมด เป็นวิธีการหาเงินที่ง่ายๆ เพียงเข้าป่าแล้วหาต้นผักหวานแล้วก็รีบเก็บยอดอ่อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้วก็เอามาขายในหมู่บ้านที่พ่อค้านัดหมายว่าจะมารับซื้อประมาณ 10 โมงเช้า แล้วก็รับเงินสดๆไป
ใครเก็บมาได้มากก็ได้เงินมาก เมื่อผักหวานป่าเป็นของสาธารณะไม่มีใครอ้างความเป็นเจ้าของได้ ทุกคนก็มีอิสรเสรีในการที่จะไปเก็บตามอัธยาศัย ใน 1 ฤดูกาลสามารถเก็บผักหวานป่าได้ประมาณ 5 เดือนคือตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ถึงเดือน มิถุนายน เก็บได้วันละ 2 ครั้ง คือเช้ากับบ่าย เช้าออกแต่ตี 4 ตี 5 แล้วกลับเข้ามาประมาณ 9-10 โมงเช้า ตอนบ่ายก็ประมาณ บ่าย 2 โมงถึง 5 โมงเย็น และสามารถออกเก็บได้ทุกวันในบางหมู่บ้านที่มีที่ตั้งเป็นภูเขาล้อมรอบ มีบางคนที่สามารถเก็บผักหวานป่าได้สูงสุดถึงประมาณ 10,000 บาท ต่อหนึ่งฤดูกาล
วิกฤติผักหวานป่า: เมื่อผักหวานเป็นเงินเป็นทอง และการเก็บผักหวานป่าเพื่อขายจึงเป็นสิ่งที่พี่น้องดงหลวงต้องการ จึงเกิดการตื่นตัวในการขึ้นภูเก็บผักหวานป่ากันโดยทั่วไป แม้เด็กนักเรียน เมื่อปิดเทอม หรือวันหยุด ก็ขึ้นภูไปเก็บผักหวานป่ากันส่วนใหญ่ เด็กมีรายได้ และเขาก็นำเงินไปซื้อสิ่งที่เขาหมายปองเอาไว้ แต่แล้วก็เกิดวิกฤติขึ้นมาเมื่อการเก็บผักหวานป่า
ขยายไปถึงการเก็บดอกผักหวานป่า เพราะมันกินได้ และราคาดีกว่าใบผักหวานป่าอีก ถึง กก.ละ 400 บาทและดอกผักหวานป่าก็หมดเรียบทั้งภูเขาทุกแห่งหน โดยต่างบอกว่า ผมไม่เก็บคนอื่นก็เก็บ บ้านเราไม่เก็บบ้านอื่นก็มาเก็บ เมื่อการคิดเป็นเช่นนี้ มีหรือดอกผักหวานป่าจะเหลือเล็ดลอดเติบโตขึ้นไปจนถึงการเห็นเมล็ดผักหวานป่าสุก เหลือง ส้ม เต็มต้น ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เมล็ดผักหวานป่าเมื่อยังเขียวที่มีขนาดเท่านิ้วกลาง ชาวบ้าน(ในอดีต) จะเก็บมานึ่งกิน หรือเมื่อสุก ก็กินเนื้อได้ รสออกหวานๆ แต่เมล็ดในกินไม่ได้เป็นพิษ หรือทำให้เมา
สหายธีระเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ตนเองที่กินเนื้อในเมล็ดผักหวานป่ากับข้าวต้ม เกิดอาหารเมามาก จนทำอะไรไม่ได้เลย อาการนี้เป็นทั้งผักหวานโคกและผักหวานดง ส่วนผักหวานขนนั้นเป็นพิษถึงเสียชีวิต กินไม่ได้เลย ผักหวานป่าเมื่อถูกเก็บดอกไปขาย ก็เท่ากับชาวบ้านทำลายตัวเอง หรือรังแกผักหวานป่ามากเกินไป เกินพอดี เพราะต่างมุ่งเงินทองเข้ากระเป๋า
สถานการณ์นี้ไม่มีใครกล่าวถึง ไม่มีใครตระหนัก ไม่มีการพูดถึงการสิ้นสุดของดงผักหวานป่าที่ดงหลวงอีกไม่นานในอนาคตนี้ ไม่ว่าชาวบ้าน ผู้นำชุมชน แม้ทางราชการที่ดูแลรักษาป่าไม้ เมื่อเป็นเช่นนี้ต้นผักหวานป่าที่มีชีวิตอยู่ในป่าปัจจุบันที่ให้ชาวบ้านได้เก็บในอ่อนไปขายนี้ ก็เป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว เพราะไม่มีเมล็ดสืบสายพันธ์ผักหวานป่าอีกต่อไป
“อีเห็น” กับผักหวานป่า: อีเห็นคือสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง ทางดงหลวงมี “อีเห็น” สองชนิดคือ “อีเห็นอ้น” กับ “อีเห็นแผง” อีเห็นอ้นชอบอยู่บนต้นไม้และหาผลไม้กินเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอีเห็นแผงอยู่ตามพื้นดินชอบกินสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร เช่น หนู ปลา เป็นต้น และมันก็ชอบกินเมล็ดผักหวานป่าสุกที่หล่นลงจากต้น นี่เองที่เป็นผู้ขยายพันธุ์ผักหวานป่า
สหายธีระกล่าวว่า อีเห็นแผงชอบใช้ชีวิตที่คลุกคลีกับก้อนหินที่มันสามารถจับสัตว์ต่างๆที่หลบซ่อนอยู่ตามซอกหินนั้นๆได้ ชาวบ้านจะจับอีเห็นแผงได้ง่ายๆด้วยวิธีเดินหาแหล่งที่มันถ่ายมูลออกมาว่าอยู่ที่ใด เมื่อพบแล้วก็ หาทางหลบซ่อนคอยมันกลับมาถ่ายมูลในมื้อต่อๆไป มันเป็นสัตว์ป่าที่มีวินัยที่เมื่อถ่ายตรงไหนแล้วก็จะมาถ่ายตรงนั้นเป็นประจำ ซึ่งหารู้ไม่ว่าความมีวินัยของเขากลายเป็นจุดที่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยมนุษย์เรียนรู้พฤติกรรมนี้และคอยจ้องจับด้วยวิธีต่างๆ เช่น ยิง หรือใช้ตาข่ายดักจับ ฯ
แต่ที่ผู้เขียนต้องการชี้คือ กองมูลของอีเห็นแผงนี้คือแหล่งผักหวานป่าจะขยายพันธุ์ เพราะเมื่อเขาไปกินเมล็ดผักหวานป่ามาก็มาถ่ายที่นี่ และเมื่อฝนตกลงมา สภาพแวดล้อมเหมาะสมเมล็ดผักหวานป่ามีดิน มีปุ๋ยคือมูลของอีเห็น และน้ำฝน เมล็ดก็เกิดต้นผักหวานใหม่ที่ซอกหินแห่งนั้นเอง และเกิดเป็นกลุ่ม หรือกระจุกต้นผักหวานป่าด้วยซ้ำไป นี่คือวงจรธรรมชาติของการแพร่พันธุ์ของต้นผักหวานป่าโดยผ่านอีเห็นแผงตามคำบอกเล่าของสหายธีระ
มาวันนี้อีเห็นแผงหายหน้าไปจากชาวบ้านนานมากแล้ว และที่สำคัญสมมุติว่าจะมีอีเห็นแผงหลงเหลือจำนวนมาก เขาก็ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสเมล็ดผักหวานสุกอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่มีเมล็ดผักหวานอีกต่อไป เพราะไม่มีโอกาสโตขึ้นมาอีกแล้ว ใครต่อใครเล่าลือกันถึงความเอร็ดอร่อยของผักหวานป่า โดยไม่ทราบว่ากำลังสนับสนุนให้เกิดการทำลายล้างเผ่าพันธุ์จนหมดสิ้นในอีกไม่นานนี้ (รวมถึงผู้เขียนบันทึกด้วย)
เราใช้ธรรมชาติมากเกินไป ความสมดุลของเขาลดลงอย่างที่เราไม่รู้ตัว มัวแต่มุ่งหน้าตักตวงประโยชน์จากเขาอย่างเมามัน คิดไปก็ไม่อยากกินผักหวานป่าอีกแล้ว ใช่ครับมันไม่ได้แก้ไขที่ผู้บริโภคฝ่ายเดียว ไม่ใช่พ่อค้าฝ่ายเดียว ไม่ใช่ชาวบ้านฝ่ายเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้ละมือครับ
รวมเรื่องผักหวานป่าที่นี่ครับ
เห็นด้วยค่ะพี่บู๊ท คนเราใช้ธรรมชาติเกินพอดีจนเป็นการรังแกธรรมชาติ แล้วพอเจอธรรมชาติพิโรธทีก็เดือดร้อนกันหมดนะคะ แต่บางทีเขาก็ลืมคิดกัน ว่าใครทำใครก่อน
หลังจากทราบมาว่า เขามักจะเผาป่าเพื่อเป็นการเร่งให้ผักหวานแตกยอดอ่อนใหม่นั้น หนิงไม่กล้ากินผักหวานเลยค่ะ ไม่อยากสนับสนุนการเร่งแบบนี้ค่ะพี่บู๊ท
สวัสดีค่ะคุณบางทราย
จะคอยดู คอยเอาใจช่วย .." ระบบการจัดการผักหวานป่าโดยชุมชน " นะคะ
เมื่อเรามีระบบที่ดี เราก็สามารถกำหนดราคาพืชเศรษฐกิจตัวนี้ได้โดยคนในชุมชน..และที่นี่อาจเป็นที่แรกที่สามารถเพาะผักหวานป่าได้ก็ได้นะคะ..^ ^
ท่านบางทราย
เปลี่ยนจากกินไปขาย ธรรมชาติหายหมด
แทบทุกเรื่อง ขนาดจุดฟางเพื่อไล่หนูตัวเล็กๆพี่ไทยก็ทำมาแล้ว จอมปลวงที่เรเลี้ยงไว้ก็มาขุดเอานางพญาไปกิน ที่สวนมีคนมาแหย่ไข่มดแดงไปขายปีๆหนึ่งได้เงินเท่าๆกับขายผักหวานนั่นแหละ ผึ้งหลวงรังใหญ่ๆก็เอาไฟเผาตัวมันตายเกลื่อน
เรื่องนี้ต้องแก้ไขที่ไหน ระบบในชุมชน ระบบในโรงเรียนไม่สัมพันธ์กัน อ่อนเรื่องพวกนี้ ไปบ้าท่องสูตรเคมีอย่างเดียว ไม่เรียนให้ครบกระบวนความ มันก็ทำลายธรรมชาติมากกว่าที่จะรักษา ส่วนมากจะอนุรักษ์ด้วยป้ายประกาศ เขตนั่นเขตนี่ แล้วก็เหลือแต่ตอ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ยังไม่เห็นแผนสอดรับกันทางสังคม ต่างคนต่างทำกันนิดๆหน่อย มันไม่เข้าไปอยู่ในจารีตนิยมแบบสมัยก่อน ประเพณี วัฒนธรรม ถ้าเปลี่ยนไปรับของต่างด้าวมาแทนของไทยเดิม มันก็ยากจะปรับแก้ พวกเราก็นั่งตาปริบๆ ได้แต่เสียดาย นึกไม่ออกครับว่าจะทำยังงไง เรื่องพวกนี้มันถึงจะออกจากภาคทฤษฎีได้
ป่าชุมชน ต.นาบอน อ.คำม่วง เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของชุมชนที่ตระหนักในวิกฤติที่เกิดขึ้นป่าของชุมชน อันเนื่องมาจากคนในชุมชนและคนภายนอกชุมชนที่เข้ามาตักตวง...ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้จนกระทั่งเกิดการคณะกรรมการอนุรักษ์ป่าชมชน และสร้างการมีส่วนร่วมของคนในตำบลในการจัดการป่าได้อย่างกว้างขวาง...จุดเด่นที่ ตำบลนาบอนสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ คือ
ผมเป็นคนระแวกนั้นครับส่วนมากจะเป็นคนหมู่บ้านอื่นที่มาเก็บของป่าไปขาย จริงๆแล้วชาวบ้านที่นั่นเขาหาแต่พอกินคับไม่ได้หวังจะเอามากมายเพื่อไปขายเขาหาของป่าตามฤดูแต่เราก็ห้ามเขาไม่ได้หรอกคับส่วนตัวผมได่แต่บอกว่าห้ามไม่ให้พวกเขาตัดต้นผักหวานบางต้นมีขนาดใหญ่ปีนลำบากบางคนก็ใช้มีดขวานตัดต้นมันลงมาเพื่อเก็บเอายอดมันป่าธรรมชาติที่นั่นยังสมบูรณ์อยู่ครับยังมีหมูป่าเม่นอีเห็นและสัตว์อื่นๆให้เห็นอยู่คับ