ปัญหาเรื่องความเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรมในสังคมไทยบนอินเทอร์เน็ต
บทนำ
วัฒนธรรม หมายถึง
แนวปฏิบัติของสังคมซึ่งเป็นการแสดงออกถึงแนวคิดที่สังคมเห็นพ้องว่าเป็นสิ่งที่ดีงามสมควรได้รับการปฏิบัติต่อเนื่องกัน
จนกลายเป็นวัฒนธรรมซึ่งมีค่าบังคับในทางสังคม
จนเรียกได้ว่าเป็นจารีตประเพณีของสังคม
แม้อาจจะไม่มีค่าบังคับทางกฎหมายแต่กลับมีผลบังคับในทางธรรมชาติสังคมนั้นๆ
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สังคมมีไทยการความแปรเปลี่ยนของวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่อง
และมีลักษณะการแปรเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
สาเหตุหลักของความแปรเปลี่ยนของวัฒนธรรมในสังคมเกิดขึ้นจาก
การแพร่กระจายของค่านิยมหรือวัฒนธรรมจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือของสังคมใดสังคมหนึ่งเข้ามายังสังคมอีกสังคมหนึ่ง
และค่านิยมนั้นได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถึงขึ้นไปลดระดับค่าของวัฒนธรรมเดิมหรือเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเดิมจนกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ในสังคมนั้นๆ
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของแฟชั่นเครื่องแต่งกาย
ค่านิยมในเรื่องการทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน
อินเทอร์เน็ตก็เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของการกระทำนั้นไปได้อย่างกว้างขวางในทุกมุมของโลกและมีความรวดเร็วอย่างมาก
มีจำนวนประชากรที่เข้าไปใช้บริการในเว็บไซต์เหล่านี้จำนวนมากขึ้น
สื่อเหล่านี้มีมาเป็นเวลานานแล้วพร้อมกับการเกิดของอินเทอร์เน็ต
เพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลบางอย่างต่อวัฒนธรรมของสังคม
ทุกวันนี้ประชากรในโลกอินเทอร์เน็ตมีจำนวนมากขึ้นเพราะการสนับสนุนจากภาครัฐบาล
และคนที่เข้าไปใช้บริการในอินเทอร์เน็ตอย่างน้อยต้องเคยเข้าไปใช้บริการในเว็บไซต์เหล่านี้
จากการสำรวจของโครงการวิจัยพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมไทยบนอินเทอร์เน็ต
พบว่า มีประชากรที่เข้าไปใช้บริการในเว็บไซต์เหล่านี้เป็นจำนวนมาก
และมีแนวโน้มที่มากขึ้น
ในจำนวนผู้ที่เข้าไปใช้บริการในเว็บไซต์เหล่านั้น
พบว่าเป็นคนกลุ่มเดิมที่วนเวียนอยู่ในเว็บไซต์เหล่านั้น
และขยายตัวออกไปยังผู้ใช้บริการหน้าใหม่ๆ
ในบรรดานักท่องโลกอินเทอร์เน็ตเหล่านั้น
เด็กและเยาวชนเป็นประชากรกลุ่มหนึ่งที่จะพยายามเข้าถึงสื่อเหล่านี้ตามเหตุผลทางจิตวิทยาและมนุษยวิทยา
เด็กเหล่านี้สามารถเข้าถึงสื่อเหล่านี้อย่างอิสระและยังคงวนเวียนอยู่ในเสื่อเหล่านี้อีกเป็นเวลานาน
การเข้าไปในสื่อเหล่านั้นเพียงครั้งหรือสองครั้ง
อาจไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม
แต่หากเข้าไปใช้บริการในเว็บไซต์เหล่านั้นบ่อยครั้งขึ้น
จนเกิดเป็นความคุ้นชินต่อสื่อเหล่านั้น
จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถกระทำได้ จะนำพาไปสู่
“การเบี่ยงเบนทางพฤติกรรมของมนุษย์” จนถึงขั้น
“การเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรมของมนุษย์บนโลกอินเทอร์เน็ต”
ผลของปริมาณของเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตประกอบกับความสม่ำเสมอในการเข้าถึงสามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ได้
กล่าวคือสามารถก่อให้เกิดความเบี่ยงเบนในทางพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมไทยได้
ซึ่งมีมีทั้งการเบี่ยงเบนไปในทางลบและการเบี่ยงเบนไปในทางบวก
(1.)
การเบี่ยงเบนไปในทางลบซึ่งพฤติกรรมของมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงในแนวคิดของเสรีภาพที่เชื่อว่าไม่มีขอบเขตทำให้มนุษย์ในสังคมไทยเชื่อว่าสามารถใช้เสรีภาพได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีขอบเขต
ด้วยสาเหตุนี้เองจึงมีผลต่อเนื่องมายังแนวคิดในเรื่องเพศและความรุนแรง
ทุกคนกำลังมองว่าภายใต้โลกแห่งไซเบอร์นี้สามารถทำทุกอย่างได้อย่างเสรี
โดยเฉพาะการกระทำในเรื่องเพศ
การเบี่ยงเบนทางพฤติกรรมไม่ได้มีผลกระทบต่อสังคมโลกไซเบอร์เท่านั้น
แต่อาจจะมีผลกระทบออกมายังโลกแห่งความเป็นจริงได้ เช่น
การมีเพศสัมพันธ์ของคนในครอบครัว (Family Incest)
ซึ่งผู้ที่ได้รับสื่อเหล่านี้มากจนเกิดเป็นความเคยชินและเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
เพราะผู้อื่นสามารถทำได้เช่นกัน ก็จะนำไปกระทำต่อครอบครัวของตนเองบ้าง
และนำมาถ่ายทอดสิ่งที่ตนกระทำมาในอินเทอร์เน็ตบ้าง
ผู้อื่นก็จะนำไปกระทำต่อและนำมาเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตต่อสืบเนื่องกันไปเป็นวัฏจักร
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์จริงในสิ่งเหล่านั้น
อาจมีการวางแผนเพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ เช่น
การวางแผนเพื่อแอบถ่ายภาพลับเฉพาะของบุคคลอื่น
การวางแผนเพื่อให้มีเพศสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
เป็นต้น
เนื้อหาในส่วนนั้นอาจจะเป็นเรื่องจริงหรืออาจจะเป็นเพียงการตกแต่งขึ้นมาอย่างจงใจ
ไม่ได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงก็ตาม
แต่ข้อเท็จจริงประการนี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจและชวนให้กระทำตามนั้น
เนื้อหาดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่เพื่อประโยชน์ใน 2 ลักษณะ
กล่าวคือ เพื่อตอบสนองความต้องการของตนแต่อย่างเดียว
ไม่มีผลประโยชน์ในรูปของตัวเงินหรือ
เพื่อผลกำไรในเชิงธุรกิจจากสื่อเหล่านี้
มีการแสวงหาผลประโยชน์จากการนำสื่อที่มีเนื้อหาเหล่านี้มาเป็นวัตถุของการประกอบการ
ยิ่งเนื้อหามีระดับของความรุนแรงเท่าไหร่
ยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อผู้ประกอบการมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น
ตนเองก็ได้ผลกำไรมากขึ้น
เมื่อมีผลกำไรมาก ก็ดึงดูดให้มีผู้ประกอบการมากขึ้น เหล่านี้เอง
เป็นจุดเริ่มต้นของความพังทลายลงของความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม
ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ในครอบครัว
บทบาทของสถาบันครอบครัว
ถูกมองว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองทางเพศ
การแอบถ่ายทำให้สังคมไม่อาจมีการไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
การระแวงภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคมลดน้อยถอยไป
การแลกเปลี่ยนคู่นอน รวมทั้งการเซ็กส์หมู่
ทำความเชื่อในเรื่องของความสัมพันธ์แบบคู่เดี่ยวที่ลึกซึ้งและแน่นแฟ้น
ถูกมองข้ามไป
การโชว์ภาพลับของตนเองรวมทั้งการโชว์ภาพการร่วมเพศของตนเอง
ทำให้สังคมมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
สามารถแสดงอวดให้ผู้อื่นดูได้อย่างโจ่งแจ้ง
เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมในการประทุษร้ายต่อผู้อื่นและสังคม
หากพฤติกรรม
หรือค่านิยมเหล่านี้ได้รับการสั่งสมจากมนุษย์ในสังคมจนเกิดเป็นความคุ้นชนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถกระทำได้จนกลายเป็นเรื่องของ
“การเบี่ยงเบนไปซึ่งวัฒนธรรมของมนุษย์ในทางลบบนอินเทอร์เน็ต”
วัฒนธรรมเหล่านี้กำลังแพร่ตัวอย่างรวดเร็ว
และขยายจำนวนออกไปอย่างกว้างขวาง
หากปล่อยให้วัฒนธรรมหรือจารีตประเพณีที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เอื้อต่อการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมฝ่ายต่ำของมนุษย์เหล่านั้น
วัฒนธรรมที่ดีงามถูกละลายไป
ในที่สุดสังคมไม่อาจจะอยู่รอดได้
(2) การเบี่ยงเบนไปในทางบวกซึ่งพฤติกรรมของมนุษย์
ในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมของมนุษย์โดยมนุษย์รู้จักใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อ
ประกอบการ
หรือรักษาสิทธิและประโยชน์ของตนรวมทั้งเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้น
มนุษย์เริ่มนิยมใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการประกอบการ
ซึ่งทำให้ได้รับประโยชน์จากการประกอบการบนอินเทอร์เน็ตมากมาย อาทิ
ลดต้นทุน ความรวดเร็ว ความทันสมัย
เหล่านี้เป็นจุดดึงดูดให้ผู้ประกอบการหันมานิยมประกอบการบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้นอันเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการอย่างมาก
นอกจากนั้นบนอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้มีการรวมตัวเพื่อสร้างความเข้าใจและความเข้มแข็งของบุคคลเฉพาะกลุ่มเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
กล่าวคือ มีการรวมตัวกันเพื่อสร้างประชาคมของกลุ่มเฉพาะ
เช่น
กลุ่มรักร่วมเพศ
ใช้พื้นที่บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกัน
ตลอดจนเป็นพื้นที่ในการแสดงออกถึงอิสระในทางความคิดได้อย่างเสรี
รวมตลอดถึงการเสริมสร้างกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจให้กับสังคม
กลุ่มทำงานเพื่อสังคมเพื่อติดตามผู้ที่สูญหายไปจากบ้าน
เพื่อช่วยเหลือติดตามผู้ที่สุญหายไปจากบ้านอาศัยการรวมตัวของประชากรบนอินเทอร์เน็ตในการช่วยสอดส่องดูแลบุคคลดังกล่าวที่สูญหายไปจากบ้านแล้วแจ้งความคืบหน้าบนอินเทอร์เน็ต
เป็นต้น
เหล่านี้ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของการประสานงานเพื่อช่วยเหลือสังคม
ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามแต่เดิมของสังคมไทย
แนวคิดนี้กำลังขยายตัวออกไปในวงกว้างที่จะขยายตัวออกมาสู่สังคมบนโลกแห่งความเป็นจริง
ซึ่งหากมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับแนวคิดในลักษณะนี้อย่างจริงจังจะช่วยให้สังคมไทยหันกลับมาให้ความสำคัญกลับวัฒนธรรมของการให้ความช่วยเหลือกัน
อีกทั้งอินเทอร์เน็ตมีความสะดวกต่อการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นองค์ความรู้และถูกจัดอย่างเป็นระบบ
และทันสมัย ประกอบกับการนำเสนอที่เป็นระบบมัลติมีเดีย
ทำให้ดึงดูดให้มนุษย์เข้าไปค้นหาข้อมูลข่าวสาร
อันเป็นการช่วยให้มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ของตนได้มากขึ้นกว่าสมัยก่อนมากมาย
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมในเชิงบวก
ซึ่งมนุษย์มีแนวโน้มที่จะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้น
ซึ่งหากได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนเกิดเป็นความเคยชิน
และปฏิบัติสืบเนื่องต่อกันมา พฤติกรรมเหล่านี้เองจะกลายเป็น
“วัฒนธรรมที่ส่งผลดีต่อสังคมของมนุษย์” ในที่สุด
การจัดการต่อสื่อบนอินเทอร์เน็ตซึ่งมีผลกระทบในเชิงการแปรเปลี่ยนซึ่งพฤติกรรมของมนุษย์นั้นมีความแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อ กล่าวคือ
หากเป็นสื่อทีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมที่ดี
ก็สมควรที่จะส่งเสริมสื่อเหล่านั้น
แต่ในทางตรงกันข้ามหากเป็นสื่อที่ทำร้ายหรือทำลายพฤติกรรมที่ดีของมนุษย์ลงไปจำเป็นต้องมีมาตรการในการปราบปรามและป้องกันสื่อเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ในแง่มุมขององค์กรที่เกี่ยวข้องในการจัดการจำเป็นต้องกลับมามองถึงบทบาทและภาระหน้าที่ของตนในฐานะของผู้รับผิดชอบต่อมาตรการที่ถูกจัดทำขึ้นในการแก้ไขปัญหา
ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบอินเทอร์เน็ตจำเป็นที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยการสร้างจิตสำนึกที่ดีในการประกอบการเพื่อป้องกันมิให้สื่อที่มีเนื้อหาเลวปรากฏเผยแพร่อยู่ในสังคมไทยได้
ภาคสังคมและภาคประชาชนต้องช่วยกันป้องกันและตรวจตราสังคม
โดยรวมตัวเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคม
ภาครัฐเองจำเป็นต้องเสริมสร้างมาตรการในการปราบปรามสื่อเลวให้หมดไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมให้สื่อที่ดีปรากฏตัวในสังคมมากขึ้น
ในขณะเดียวกันอาจจะดำรงตนอยู่ในฐานะของผู้กำกับดูแลภาคธุรกิจและภาคสังคม
โดยจัดทำมาตรการที่เอื้อให้ต่อภาคสังคมและภาคธุรกิจสามารถเข้ามาร่วมจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. สรุป
ไม่มีความเห็น